Last Updated on กุมภาพันธ์ 23, 2025 by admin
ปัญหาดินเค็มเป็นภัยเงียบที่คุกคามพื้นที่เกษตรกรรมทั่วโลก รวมถึงประเทศไทย ดินเค็มส่งผลกระทบต่อการผลิตทางการเกษตร ลดความหลากหลายทางชีวภาพ และสร้างความเสียหายทางเศรษฐกิจอย่างมหาศาล การทำความเข้าใจเกี่ยวกับดินเค็ม ลักษณะเฉพาะ และวิธีการแก้ไขจึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง บทความนี้จะพาคุณไปเจาะลึกเรื่องราวของดินเค็มอย่างละเอียด ตั้งแต่ความหมาย ลักษณะ ไปจนถึงวิธีการแก้ไขปัญหาดินเค็มที่ได้ผลจริง เพื่อให้คุณสามารถฟื้นฟูผืนดินเค็มให้กลับมาอุดมสมบูรณ์และใช้ประโยชน์ได้อย่างยั่งยืน
ดินเค็ม คือ
ดินเค็ม (Saline soil) คือ ดินที่มีปริมาณเกลือที่ละลายน้ำได้ในดินมากเกินไป จนส่งผลกระทบต่อการเจริญเติบโตของพืช เกลือเหล่านี้ส่วนใหญ่เป็นเกลือโซเดียมคลอไรด์ (NaCl), โซเดียมซัลเฟต (Na₂SO₄), แคลเซียมคลอไรด์ (CaCl₂) และแมกนีเซียมคลอไรด์ (MgCl₂) เมื่อความเข้มข้นของเกลือในดินสูงขึ้น จะทำให้เกิดสภาวะที่พืชไม่สามารถดูดน้ำและธาตุอาหารได้อย่างมีประสิทธิภาพ แม้ว่าจะมีน้ำและธาตุอาหารในดินก็ตาม เปรียบเสมือนพืช “กระหายน้ำ” ในทะเลทราย กลายเป็นดินที่ไม่เหมาะกับการเพาะปลูก
ดินเค็มเกิดจากอะไร ?
- สาเหตุจากธรรมชาติ:
- การผุพังของหินและแร่ธาตุ: หินและแร่ธาตุหลายชนิดมีเกลือเป็นองค์ประกอบ เมื่อผุพังลง เกลือเหล่านี้จะถูกปล่อยออกมาสะสมในดิน
- การสะสมเกลือจากน้ำทะเล: ในพื้นที่ชายฝั่ง น้ำทะเลสามารถแทรกซึมเข้ามาในดิน หรือเกิดจากการขึ้นลงของน้ำทะเล ทำให้เกิดการสะสมเกลือในดินบริเวณนั้น
- การระเหยของน้ำใต้ดิน: ในพื้นที่แห้งแล้ง น้ำใต้ดินที่มีเกลือละลายอยู่จะระเหยขึ้นสู่ผิวดิน และทิ้งเกลือไว้บนผิวดินเมื่อน้ำระเหยไป
- สาเหตุจากกิจกรรมของมนุษย์:
- การชลประทานที่ไม่เหมาะสม: การใช้น้ำชลประทานที่มีเกลือละลายอยู่ หรือการใช้น้ำในปริมาณมากเกินไปโดยไม่มีระบบระบายน้ำที่ดี จะทำให้เกลือสะสมในดินมากขึ้นเรื่อยๆ
- การใช้ปุ๋ยเคมีมากเกินไป: ปุ๋ยเคมีบางชนิด เช่น ปุ๋ยเคมีที่มีส่วนผสมของโซเดียม อาจทำให้เกิดการสะสมเกลือในดินได้หากใช้อย่างไม่เหมาะสม
- การทำลายป่าไม้: การทำลายป่าไม้ทำให้การไหลบ่าของน้ำผิวดินเพิ่มขึ้น และนำพาเกลือจากพื้นที่สูงลงสู่พื้นที่ต่ำ ทำให้เกิดการสะสมเกลือในพื้นที่ลุ่ม
ดินเค็มมีลักษณะอย่างไร?
ลักษณะทางกายภาพ:
- คราบเกลือบนผิวดิน: ลักษณะเด่นที่เห็นได้ชัดเจนคือ การปรากฏของคราบเกลือสีขาวบนผิวดิน โดยเฉพาะในช่วงฤดูแล้งหรือหลังฝนตกใหม่ๆ
- ดินแน่นแข็ง: ดินเค็มมักมีโครงสร้างที่ไม่ดี อนุภาคดินจับตัวกันแน่น ทำให้ดินระบายน้ำและอากาศได้ไม่ดี
- สีดินซีดจาง: ดินเค็มอาจมีสีซีดจางกว่าดินปกติ เนื่องจากเกลือที่สะสมอยู่ในดิน
ลักษณะทางเคมี:
- ค่าการนำไฟฟ้า (Electrical Conductivity: EC) สูง: ค่า EC เป็นตัวบ่งชี้ปริมาณเกลือที่ละลายน้ำได้ในดิน ดินเค็มจะมีค่า EC สูงกว่า 4 เดซิซีเมนส์ต่อเมตร (dS/m) ซึ่งเป็นค่าที่สูงเกินกว่าที่พืชส่วนใหญ่จะทนทานได้
- ค่าความเป็นกรด-ด่าง (pH) เป็นกลางถึงด่าง: ดินเค็มส่วนใหญ่มักมีค่า pH อยู่ในช่วง 7-8.5 หรือสูงกว่า
- ปริมาณโซเดียมสูง: ในดินเค็มบางประเภท อาจมีปริมาณโซเดียมที่แลกเปลี่ยนได้ สูง ซึ่งส่งผลต่อโครงสร้างดินและทำให้ดินแน่นทึบยิ่งขึ้น
ลักษณะทางชีวภาพ:
- พืชขึ้นน้อยหรือไม่ขึ้นเลย: ในพื้นที่ดินเค็มจัด พืชส่วนใหญ่มักไม่สามารถเจริญเติบโตได้ หรือเจริญเติบโตได้ไม่ดี พืชที่ขึ้นได้มักเป็นพืชทนเค็ม บางชนิดเท่านั้น
- พืชแคระแกร็น ใบไหม้ขอบ: พืชที่พอจะทนทานต่อดินเค็มได้ อาจแสดงอาการแคระแกร็น ใบมีสีเขียวเข้มผิดปกติ หรือมีขอบใบไหม้
ดินเค็มวิธีแก้ ทำอย่างไร?
การแก้ไขปัญหาดินเค็มต้องอาศัยความเข้าใจในสาเหตุและลักษณะของดินเค็มในแต่ละพื้นที่ และเลือกใช้วิธีการที่เหมาะสม หลักการพื้นฐานของการแก้ไขดินเค็มคือ การลดปริมาณเกลือในดิน และ ปรับปรุงสภาพดินให้เหมาะสมต่อการเจริญเติบโตของพืช วิธีการแก้ไขดินเค็มสามารถแบ่งออกเป็นหลายวิธี ดังนี้:
1. ดินเค็มวิธีแก้ ด้วยการชะล้างเกลือ
- หลักการ: ใช้น้ำจืดปริมาณมากชะล้างเกลือที่สะสมอยู่ในดินให้ไหลออกไปพร้อมกับน้ำ
- ขั้นตอน:
- เตรียมระบบระบายน้ำ: สร้างระบบระบายน้ำที่ดีในพื้นที่ เพื่อให้น้ำชะล้างเกลือสามารถระบายออกไปได้สะดวก อาจทำได้โดยการขุดร่องระบายน้ำ หรือวางท่อระบายน้ำ
- ให้น้ำชะล้าง: ปล่อยน้ำจืดลงในแปลงดินเค็มในปริมาณมาก ค่อยๆ ให้น้ำซึมลงสู่ดิน และไหลผ่านชั้นดินที่มีเกลือสะสมอยู่ พานำเกลือออกไป
- ตรวจสอบคุณภาพน้ำทิ้ง: ตรวจสอบคุณภาพน้ำที่ระบายออกมา หากยังมีปริมาณเกลือสูง อาจต้องทำการชะล้างซ้ำ
- ปรับปรุงดินหลังการชะล้าง: หลังการชะล้างเกลือ ดินอาจขาดแคลนธาตุอาหารบางชนิด ควรปรับปรุงดินโดยการใส่ปุ๋ยอินทรีย์ หรือปุ๋ยเคมีตามความเหมาะสม
- ข้อควรระวัง:
- ปริมาณน้ำ: ต้องใช้น้ำจืดในปริมาณมาก ซึ่งอาจเป็นข้อจำกัดในพื้นที่ที่มีน้ำจำกัด
- ระบบระบายน้ำ: ระบบระบายน้ำต้องมีประสิทธิภาพ เพื่อป้องกันปัญหาน้ำท่วมขัง และการสะสมของเกลือในชั้นดินล่าง
- ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม: น้ำทิ้งจากการชะล้างเกลืออาจมีปริมาณเกลือสูง หากระบายลงสู่แหล่งน้ำธรรมชาติโดยตรง อาจส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศ ควรมีการบำบัดน้ำทิ้งก่อนปล่อย
2. ดินเค็มวิธีแก้ด้วยการใช้ยิปซัม
- หลักการ: ยิปซัม (แคลเซียมซัลเฟต – CaSO₄·2H₂O) เป็นสารปรับปรุงดินเค็มที่นิยมใช้กันอย่างแพร่หลาย ยิปซัมจะช่วยแลกเปลี่ยนโซเดียมไอออน (Na⁺) ที่เกาะอยู่กับอนุภาคดิน ด้วยแคลเซียมไอออน (Ca²⁺) ทำให้โซเดียมหลุดออกจากอนุภาคดิน และสามารถถูกชะล้างออกไปได้ง่ายขึ้น นอกจากนี้ ยิปซัมยังช่วยปรับปรุงโครงสร้างดินให้ดีขึ้น ทำให้น้ำและอากาศถ่ายเทได้สะดวก
- ขั้นตอน:
- วิเคราะห์ดิน: วิเคราะห์ดินเพื่อประเมินปริมาณยิปซัมที่เหมาะสมในการใช้ (โดยทั่วไปใช้ประมาณ 2-4 ตันต่อไร่ ขึ้นอยู่กับระดับความเค็มและชนิดของดิน)
- หว่านยิปซัม: หว่านยิปซัมให้ทั่วแปลงดินเค็ม
- ไถพรวนดิน: ไถพรวนดินให้ยิปซัมคลุกเคล้าเข้ากับดิน
- ให้น้ำชะล้าง: ให้น้ำชะล้างตามวิธีที่ 1 เพื่อชะล้างโซเดียมที่ถูกแลกเปลี่ยนออกมา
- ข้อควรระวัง:
- ปริมาณยิปซัม: การใช้ยิปซัมในปริมาณที่ไม่เหมาะสม อาจไม่ได้ผล หรืออาจส่งผลกระทบต่อสมดุลของธาตุอาหารในดิน
- ชนิดของดิน: ยิปซัมมีประสิทธิภาพในการแก้ไขดินเค็มโซดิก (Sodic soil) ที่มีปัญหาโซเดียมสูง เป็นหลัก
3. ดินเค็มวิธีแก้ด้วย การปลูกพืชทนเค็ม
- หลักการ: เลือกปลูกพืชที่สามารถทนทานต่อสภาพดินเค็มได้ เพื่อให้สามารถใช้ประโยชน์จากพื้นที่ดินเค็มได้ แม้ว่าจะไม่สามารถแก้ไขดินเค็มให้กลับมาเป็นดินปกติได้ในระยะเวลาอันสั้น พืชทนเค็มบางชนิดยังสามารถช่วยดูดซับเกลือจากดิน และปรับปรุงสภาพดินให้ดีขึ้นได้ในระยะยาว
- ตัวอย่างพืชทนเค็ม:
- พืชเศรษฐกิจ: , หญ้าเนเปียร์ปากช่อง 1, ปาล์มน้ำมัน, อินทผลัม, มะพร้าว, กระถินณรงค์, ยูคาลิปตัส
- พืชอาหารสัตว์: หญ้าทนเค็มชนิดต่างๆ
- พืชพื้นเมือง: จากทะเล, แสม, โกงกาง, ผักเบี้ยทะเล
- ข้อควรพิจารณา:
- ชนิดพืช: เลือกชนิดพืชที่เหมาะสมกับสภาพภูมิอากาศ สภาพดิน และความต้องการของตลาด
- การจัดการ: พืชทนเค็มก็ยังต้องการการดูแลจัดการที่เหมาะสม เช่น การให้น้ำ การใส่ปุ๋ย เพื่อให้ได้ผลผลิตที่ดี
4. ดินเค็มวิธีแก้ด้วยการใช้วัสดุปรับปรุงดินอินทรีย์
- หลักการ: การใช้วัสดุปรับปรุงดินอินทรีย์ เช่น ปุ๋ยหมัก ปุ๋ยคอก แกลบดิบ ฟางข้าว จะช่วยปรับปรุงโครงสร้างดิน เพิ่มความสามารถในการอุ้มน้ำและระบายน้ำ ทำให้ดินร่วนซุยขึ้น และช่วยลดความเค็มของดินในระยะยาว เนื่องจากอินทรียวัตถุสามารถช่วยดูดซับเกลือและลดความเข้มข้นของเกลือในดินได้
- ขั้นตอน:
- เลือกวัสดุปรับปรุงดินอินทรีย์: เลือกใช้วัสดุปรับปรุงดินอินทรีย์ที่หาได้ง่ายในท้องถิ่น และมีคุณภาพดี
- ใส่วัสดุปรับปรุงดิน: ใส่วัสดุปรับปรุงดินอินทรีย์ในปริมาณที่เหมาะสม (เช่น 2-5 ตันต่อไร่ ขึ้นอยู่กับชนิดของวัสดุและสภาพดิน)
- ไถพรวนดิน: ไถพรวนดินให้วัสดุปรับปรุงดินอินทรีย์คลุกเคล้าเข้ากับดิน
- ปลูกพืชคลุมดิน: ปลูกพืชคลุมดิน เช่น ปอเทือง ถั่วพร้า เพื่อเพิ่มอินทรียวัตถุในดิน และป้องกันการชะล้างหน้าดิน
- ข้อควรพิจารณา:
- ระยะเวลา: การใช้วัสดุปรับปรุงดินอินทรีย์เป็นการแก้ไขดินเค็มในระยะยาว ต้องใช้เวลาและความต่อเนื่องในการปรับปรุงดิน
- คุณภาพวัสดุ: คุณภาพของวัสดุปรับปรุงดินอินทรีย์มีผลต่อประสิทธิภาพในการปรับปรุงดิน ควรเลือกใช้วัสดุที่มีคุณภาพดี และผ่านการหมักอย่างเหมาะสม
5. ดินเค็มวิธีแก้ด้วยการการจัดการน้ำ
- หลักการ: การจัดการน้ำอย่างมีประสิทธิภาพเป็นสิ่งสำคัญในการป้องกันและแก้ไขปัญหาดินเค็ม ควรเลือกใช้น้ำที่มีคุณภาพดีในการชลประทาน และมีระบบระบายน้ำที่ดี เพื่อป้องกันการสะสมของเกลือในดิน
- แนวทางการจัดการน้ำ:
- เลือกใช้น้ำชลประทานคุณภาพดี: ตรวจสอบคุณภาพน้ำชลประทานก่อนนำมาใช้ หากน้ำมีปริมาณเกลือสูง ควรหลีกเลี่ยง หรือใช้วิธีการบำบัดน้ำก่อน
- ให้น้ำแต่พอดี: ให้น้ำในปริมาณที่เหมาะสมกับความต้องการของพืช ไม่ให้น้ำมากเกินไปจนเกิดน้ำท่วมขัง และไม่น้อยเกินไปจนพืชขาดน้ำ
- จัดระบบระบายน้ำ: สร้างระบบระบายน้ำที่มีประสิทธิภาพ เพื่อให้น้ำส่วนเกินและเกลือที่ถูกชะล้างสามารถระบายออกจากพื้นที่ได้
- การปลูกพืชแบบใช้น้ำน้อย: พิจารณาปลูกพืชที่ใช้น้ำน้อย เพื่อลดปริมาณน้ำชลประทานที่ต้องใช้ และลดความเสี่ยงของการสะสมเกลือ
6. ดินเค็มวิธีแก้ด้วยการการไถระเบิดชั้นดินดาน
- หลักการ: ในดินเค็มบางพื้นที่ อาจมีชั้นดินดานที่ขวางกั้นการระบายน้ำและการชะล้างเกลือ การไถระเบิดชั้นดินดานจะช่วยทำลายชั้นดินดาน ทำให้การระบายน้ำดีขึ้น และเกลือสามารถถูกชะล้างออกไปได้ง่ายขึ้น
- ขั้นตอน: ใช้รถไถขนาดใหญ่ที่มีใบผานไถระเบิดชั้นดินดาน ไถพรวนดินให้ลึกถึงชั้นดินดาน
- ข้อควรระวัง: วิธีนี้อาจไม่เหมาะสมสำหรับดินที่มีความลาดชันสูง หรือดินที่มีความเสี่ยงต่อการชะล้างพังทลายของดิน
ปัญหาดินเค็มเป็นปัญหาที่ซับซ้อนและต้องใช้ความพยายามในการแก้ไข ดินเค็มวิธีแก้นั้นไม่ควรพึ่งพาวิธีใดวิธีหนึ่ง แต่ควรพิจารณาจากสาเหตุ ลักษณะดิน สภาพพื้นที่ แหล่งน้ำ และงบประมาณ การผสมผสานหลายๆ วิธีเข้าด้วยกัน มักจะให้ผลลัพธ์ที่ดีกว่าการใช้วิธีใดวิธีหนึ่งเพียงอย่างเดียว สิ่งสำคัญคือการหมั่นสังเกตและติดตามการเปลี่ยนแปลงของดินอย่างต่อเนื่อง และปรับวิธีการจัดการให้เหมาะสม เพื่อให้การฟื้นฟูผืนดินเค็มประสบความสำเร็จและยั่งยืนในระยะยาว
อ่านบทความดีๆกันแล้ว
แล้วอย่าลืม แอดไลน์ มาเป็นเพื่อนกัน เพื่อให้ท่านไม่พลาดข่าวสารและโปรโมชั่นดีๆจากทางร้าน