Last Updated on กุมภาพันธ์ 24, 2025 by admin
ดินเปรี้ยว หรือ “ดินกรดจัด” ถือเป็นปัญหาสำคัญประการหนึ่งในภาคเกษตรกรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเทศไทย ซึ่งส่งผลกระทบต่อความอุดมสมบูรณ์ของทรัพยากรดินและผลิตภาพทางการเกษตรกรรมอย่างกว้างขวาง สภาพดินที่มีความเป็นกรดสูงนี้ มีลักษณะเฉพาะจากการสะสมของแร่ไพไรต์ และกระบวนการทางเคมีที่ก่อให้เกิดกรดกำมะถัน ส่งผลให้ดินมีคุณสมบัติทางกายภาพ เคมี และชีวภาพที่ไม่เหมาะสมต่อการเจริญเติบโตของพืชเศรษฐกิจโดยทั่วไป บทความนี้จึงมุ่งนำเสนอองค์ความรู้ที่ครอบคลุมเกี่ยวกับดินเปรี้ยว เริ่มตั้งแต่ความหมายและกระบวนการกำเนิด ไปจนถึงลักษณะเฉพาะและแนวทางการแก้ไขปัญหาดินเปรี้ยวอย่างเป็นระบบ โดยอาศัยหลักการทางวิชาการและงานวิจัยที่เชื่อถือได้ เพื่อเป็นแนวทางในการจัดการและฟื้นฟูทรัพยากรดินเปรี้ยวให้สามารถนำกลับมาใช้ประโยชน์ทางการเกษตรได้อย่างยั่งยืนต่อไป
ดินเปรี้ยว คือ
ดินเปรี้ยว คือ ดินที่มีความเป็นกรดสูงมาก โดยมีค่าความเป็นกรด-ด่าง (pH) ต่ำกว่า 4.0 และอาจต่ำถึง 3.5 หรือต่ำกว่านั้น ความเป็นกรดจัดในดินเปรี้ยวมีสาเหตุหลักมาจากการสะสมของ แร่ไพไรต์ (Pyrite – FeS₂) ในดิน เมื่อแร่ไพไรต์สัมผัสกับอากาศและน้ำ จะเกิดปฏิกิริยาออกซิเดชัน ทำให้เกิดกรดกำมะถัน (Sulfuric acid – H₂SO₄) ซึ่งเป็นกรดที่รุนแรง และทำให้ดินมีสภาพเป็นกรดจัด
ดินเปรี้ยวเกิดจากอะไร?
สาเหตุหลักของการเกิดดินเปรี้ยวโดยทั่วไปมาจากปัจจัยทางธรรมชาติ และอาจถูกเร่งให้รุนแรงขึ้นได้จากกิจกรรมของมนุษย์ ดังนี้:
- ปัจจัยทางธรรมชาติ:
- ลักษณะภูมิประเทศและธรณีวิทยา: ดินเปรี้ยวส่วนใหญ่มักพบในพื้นที่ราบลุ่มชายฝั่งทะเล หรือบริเวณที่มีอดีตเคยเป็นทะเลมาก่อน เนื่องจากเป็นพื้นที่ที่มีการสะสมของตะกอนน้ำทะเลที่มีแร่ไพไรต์อยู่มาก
- สภาพภูมิอากาศ: ในพื้นที่ที่มีปริมาณน้ำฝนสูง จะช่วยเร่งปฏิกิริยาออกซิเดชันของแร่ไพไรต์ และชะล้างกรดกำมะถันลงสู่ชั้นดินล่าง ทำให้ความเป็นกรดในดินรุนแรงมากขึ้น
- การเปลี่ยนแปลงระดับน้ำทะเล: การเปลี่ยนแปลงระดับน้ำทะเลในอดีต ทำให้เกิดการสะสมของตะกอนน้ำทะเลในพื้นที่ต่างๆ และเมื่อระดับน้ำทะเลลดลง ดินตะกอนเหล่านี้ก็จะกลายเป็นดินเปรี้ยว
- กิจกรรมของมนุษย์:
- การระบายน้ำเพื่อการเกษตร: การระบายน้ำออกจากพื้นที่ลุ่ม เพื่อเปลี่ยนสภาพพื้นที่ให้เหมาะสมกับการเกษตร ทำให้ดินที่เคยอยู่ในสภาพน้ำขัง สัมผัสกับอากาศมากขึ้น และเกิดปฏิกิริยาออกซิเดชันของแร่ไพไรต์
- การทำลายป่าชายเลน: ป่าชายเลนมีบทบาทสำคัญในการรักษาสมดุลของระบบนิเวศชายฝั่ง และช่วยป้องกันการเกิดดินเปรี้ยว การทำลายป่าชายเลนทำให้ดินตะกอนชายเลนสัมผัสกับอากาศโดยตรง และเกิดดินเปรี้ยวได้ง่ายขึ้น
- การสร้างคลองและระบบชลประทาน: การสร้างคลองและระบบชลประทานในพื้นที่ดินเปรี้ยว หากไม่มีการจัดการน้ำที่ดี อาจทำให้เกิดการระบายน้ำมากเกินไป และเร่งการเกิดดินเปรี้ยวได้
ดินเปรี้ยวมีลักษณะอย่างไร ?
ลักษณะทางกายภาพ:
- สีดินซีด: ดินเปรี้ยวมักมีสีซีด เช่น สีเหลืองฟางข้าว สีน้ำตาลอ่อน หรือสีเทา เนื่องจากมีปริมาณเหล็กและอะลูมิเนียมในรูปที่เป็นประโยชน์ต่อพืชน้อย
- จุดประ: พบจุดประสีเหลืองฟางข้าว หรือสีขาวปนเหลืองคล้ายจาโรไซต์ ซึ่งเป็นผลึกของสารประกอบเหล็กและกำมะถัน เกิดจากการสะสมของสารประกอบเหล่านี้ในดิน
- ดินเลนจัด: ดินเปรี้ยวที่ยังไม่ถูกระบายน้ำ มักมีลักษณะเป็นดินเลน หรือดินโคลนเหลว
- ดินแห้งแตกระแหงง่าย: เมื่อดินเปรี้ยวแห้ง จะแตกระแหงเป็นร่องลึก และแข็งมาก ทำให้ไถพรวนยาก
ลักษณะทางเคมี:
- ค่าความเป็นกรด-ด่าง (pH) ต่ำ: ดินเปรี้ยวมีค่า pH ต่ำกว่า 4.0 และอาจต่ำถึง 3.5 หรือต่ำกว่า
- ปริมาณกำมะถันสูง: ดินเปรี้ยวมีปริมาณกำมะถันทั้งหมด และกำมะถันที่เป็นกรด สูง
- ความเป็นพิษของธาตุอาหาร: ดินเปรี้ยวมีปริมาณธาตุอาหารที่เป็นพิษต่อพืชสูง เช่น อะลูมิเนียม , เหล็ก , และแมงกานีส ในรูปที่ละลายน้ำได้ ธาตุเหล่านี้จะละลายออกมาในสภาพดินที่เป็นกรด และเป็นพิษต่อรากพืช ทำให้พืชไม่สามารถดูดน้ำและธาตุอาหารได้ตามปกติ
- ขาดแคลนธาตุอาหาร: ดินเปรี้ยว มักขาดแคลนธาตุอาหารที่จำเป็นต่อพืช เช่น ฟอสฟอรัส โพแทสเซียม แคลเซียม และแมกนีเซียม เนื่องจากธาตุเหล่านี้ถูกตรึงไว้ในดิน หรือถูกชะล้างออกไปได้ง่ายในสภาพดินที่เป็นกรด
ลักษณะทางชีวภาพ:
- ความหลากหลายทางชีวภาพต่ำ: ดินเปรี้ยวมีสิ่งมีชีวิตในดินน้อยชนิด เนื่องจากสภาพดินที่ไม่เหมาะสมต่อการดำรงชีวิตของจุลินทรีย์และสัตว์ในดิน
- พืชทนเปรี้ยวบางชนิด: พืชที่ขึ้นได้ในดินเปรี้ยว มักเป็นพืชทนเปรี้ยว บางชนิด เช่น หญ้ากก, ธูปฤาษี, ป่าเสม็ด
- ผลผลิตพืชต่ำ: พืชเศรษฐกิจส่วนใหญ่ไม่สามารถเจริญเติบโตได้ในดินเปรี้ยว หรือให้ผลผลิตต่ำมาก หากไม่มีการปรับปรุงดิน
ดินเปรี้ยวแก้ยังไง?
การแก้ไขปัญหาดินเปรี้ยวเป็นกระบวนการที่ต้องใช้ระยะเวลา ความอดทน และการจัดการที่เหมาะสม ไม่มีวิธีใดวิธีหนึ่งที่สามารถแก้ไขดินเปรี้ยวได้อย่างรวดเร็วและถาวร แนวทางการแก้ไขดินเปรี้ยวที่สำคัญ มีดังนี้:
1. การควบคุมระดับน้ำใต้ดิน
- หลักการ: ควบคุมระดับน้ำใต้ดินให้สูง เพื่อลดการสัมผัสของแร่ไพไรต์กับอากาศ และลดการเกิดกรดกำมะถัน การรักษาระดับน้ำใต้ดินให้สูงกว่าชั้นดินที่มีแร่ไพไรต์ จะช่วยป้องกันไม่ให้แร่ไพไรต์ทำปฏิกิริยากับออกซิเจน
- วิธีการ:
- สร้างระบบทดน้ำ: สร้างทำนบ หรือฝายทดน้ำ เพื่อควบคุมระดับน้ำในพื้นที่ และรักษาระดับน้ำใต้ดินให้สูงขึ้นในช่วงฤดูแล้ง
- ปลูกพืชที่ต้องการน้ำมาก: ปลูกพืชที่ต้องการน้ำมาก เช่น ข้าว เพื่อรักษาระดับน้ำในดินให้สูง
- ข้อควรระวัง:
- การจัดการน้ำ: การควบคุมระดับน้ำใต้ดินต้องมีการจัดการที่ดี เพื่อป้องกันปัญหาน้ำท่วมขัง และการแพร่ระบาดของโรคและแมลงศัตรูพืช
- ชนิดพืช: การปลูกพืชที่ต้องการน้ำมาก อาจไม่เหมาะสมกับทุกพื้นที่ และอาจมีข้อจำกัดด้านตลาด
2. การใช้ปูน
- หลักการ: การใช้ปูน เช่น ปูนมาร์ล , ปูนโดโลไมท์ , หรือปูนขาว เพื่อลดความเป็นกรดของดิน และเพิ่มค่า pH ให้สูงขึ้น ปูนจะทำปฏิกิริยากับกรดในดิน และปรับปรุงสภาพดินให้เหมาะสมต่อการเจริญเติบโตของพืช
- ขั้นตอน:
- วิเคราะห์ดิน: วิเคราะห์ดินเพื่อประเมินปริมาณปูนที่เหมาะสมในการใช้ (ปริมาณปูนที่ใช้จะขึ้นอยู่กับระดับความเป็นกรดของดิน และชนิดของปูน)
- หว่านปูน: หว่านปูนให้ทั่วแปลงดินเปรี้ยว
- ไถพรวนดิน: ไถพรวนดินให้ปูนคลุกเคล้าเข้ากับดิน ควรไถพรวนดินให้ลึก เพื่อให้ปูนกระจายตัวและปรับปรุงดินในชั้นล่างได้ดีขึ้น
- ให้น้ำ: รดน้ำให้ดินชุ่มชื้น เพื่อให้ปฏิกิริยาของปูนในดินเกิดขึ้นได้ดี
- ข้อควรระวัง:
- ชนิดของปูน: เลือกชนิดของปูนให้เหมาะสมกับสภาพดิน และพืชที่จะปลูก ปูนมาร์ลและปูนโดโลไมท์เหมาะสำหรับดินที่มีความเป็นกรดไม่รุนแรง ส่วนปูนขาวเหมาะสำหรับดินที่มีความเป็นกรดรุนแรง
- ปริมาณปูน: การใช้ปูนในปริมาณที่ไม่เหมาะสม อาจทำให้ pH ของดินสูงเกินไป และส่งผลกระทบต่อการดูดซึมธาตุอาหารของพืช
- ระยะเวลา: การใช้ปูนเป็นการปรับปรุงดินในระยะสั้นถึงปานกลาง อาจต้องใช้ปูนซ้ำทุก 2-3 ปี เพื่อรักษาสภาพดินให้เหมาะสม
3. การใช้สารปรับปรุงดิน
- หลักการ: การใช้สารปรับปรุงดินอื่นๆ นอกเหนือจากปูน เช่น ฟอสเฟต , ขี้เถ้าแกลบ, ปุ๋ยหมัก, ปุ๋ยคอก, หรือวัสดุอินทรีย์ต่างๆ เพื่อปรับปรุงคุณสมบัติทางกายภาพ เคมี และชีวภาพของดินเปรี้ยว สารปรับปรุงดินเหล่านี้จะช่วยเพิ่มความอุดมสมบูรณ์ของดิน ลดความเป็นพิษของธาตุอาหาร และส่งเสริมการเจริญเติบโตของพืช
- ตัวอย่างสารปรับปรุงดิน:
- ฟอสเฟต: ช่วยลดความเป็นพิษของอะลูมิเนียม และเพิ่มปริมาณฟอสฟอรัสที่เป็นประโยชน์ต่อพืช
- ขี้เถ้าแกลบ: มีความเป็นด่าง ช่วยลดความเป็นกรดของดิน และมีธาตุอาหารที่เป็นประโยชน์ต่อพืช
- ปุ๋ยหมัก ปุ๋ยคอก: เพิ่มอินทรียวัตถุในดิน ปรับปรุงโครงสร้างดิน และเป็นแหล่งธาตุอาหารสำหรับพืช
- วัสดุอินทรีย์: เช่น ฟางข้าว ใบไม้ เศษพืช ช่วยเพิ่มอินทรียวัตถุในดิน และปรับปรุงคุณสมบัติทางกายภาพของดิน
- ขั้นตอน:
- เลือกสารปรับปรุงดิน: เลือกสารปรับปรุงดินที่เหมาะสมกับสภาพดิน และพืชที่จะปลูก
- ใส่สารปรับปรุงดิน: ใส่สารปรับปรุงดินในปริมาณที่เหมาะสม ตามคำแนะนำ หรือผลการวิเคราะห์ดิน
- ไถพรวนดิน: ไถพรวนดินให้สารปรับปรุงดินคลุกเคล้าเข้ากับดิน
- ข้อควรพิจารณา:
- ชนิดสารปรับปรุงดิน: เลือกชนิดสารปรับปรุงดินให้เหมาะสมกับปัญหาดินเปรี้ยวในพื้นที่ เช่น หากดินขาดฟอสฟอรัส ควรใช้ปุ๋ยฟอสเฟต หากดินขาดอินทรียวัตถุ ควรใช้ปุ๋ยหมัก หรือปุ๋ยคอก
- ปริมาณสารปรับปรุงดิน: การใช้สารปรับปรุงดินในปริมาณที่ไม่เหมาะสม อาจไม่ได้ผล หรืออาจส่งผลเสียต่อดินและพืช
- ค่าใช้จ่าย: สารปรับปรุงดินบางชนิดอาจมีราคาแพง ควรพิจารณาความคุ้มค่าในการลงทุน
4. การปลูกพืชทนเปรี้ยว
- หลักการ: เลือกปลูกพืชที่สามารถทนทานต่อสภาพดินเปรี้ยวได้ เพื่อให้สามารถใช้ประโยชน์จากพื้นที่ดินเปรี้ยวได้ในระยะสั้นถึงปานกลาง พืชทนเปรี้ยวบางชนิดยังสามารถช่วยปรับปรุงสภาพดินให้ดีขึ้นได้ในระยะยาว
- ตัวอย่างพืชทนเปรี้ยว:
- ข้าว: ข้าวเป็นพืชที่ค่อนข้างทนทานต่อดินเปรี้ยวได้ดี โดยเฉพาะพันธุ์ข้าวที่พัฒนาขึ้นเพื่อทนทานต่อสภาพดินเปรี้ยวโดยเฉพาะ
- พืชอาหารสัตว์: หญ้าเนเปียร์, ถั่วลิสง
- ไม้ยืนต้น: ยูคาลิปตัส, กระถินเทพา, ปาล์มน้ำมัน, ยางพารา
- พืชผัก: สับปะรด, เผือก, มันสำปะหลัง
- ข้อควรพิจารณา:
- ชนิดพืช: เลือกชนิดพืชที่เหมาะสมกับระดับความเป็นกรดของดิน สภาพภูมิอากาศ และความต้องการของตลาด
- การจัดการ: พืชทนเปรี้ยวก็ยังต้องการการดูแลจัดการที่เหมาะสม เช่น การให้น้ำ การใส่ปุ๋ย เพื่อให้ได้ผลผลิตที่ดี
อ่านบทความดีๆกันแล้ว
แล้วอย่าลืม แอดไลน์ มาเป็นเพื่อนกัน เพื่อให้ท่านไม่พลาดข่าวสารและโปรโมชั่นดีๆจากทางร้าน