มีนาคม 22, 2025

Blog

🌳ปลูก ต้นหูกวาง ไว้ที่บ้าน มากกว่าร่มเงา คือ คุณค่า ที่คุณคาดไม่ถึง

คลังบทความ
ฝากกดแชร์เป็นกำลังใจให้ด้วยนะคะ

Last Updated on กุมภาพันธ์ 20, 2025 by admin

ต้นหูกวาง (Terminalia catappa) เป็นไม้ต้นผลัดใบขนาดกลางถึงขนาดใหญ่ ที่พบเห็นได้ทั่วไปในเขตร้อนชื้น รวมถึงประเทศไทย ด้วยทรงพุ่มแผ่กว้างคล้ายร่ม ใบสีเขียวเข้มที่เปลี่ยนเป็นสีแดงส้มในฤดูหนาว และผลรูปไข่ที่คล้ายอัลมอนด์ ทำให้ต้นหูกวางเป็นที่รู้จักและชื่นชอบในฐานะไม้ให้ร่มเงา และไม้ประดับ แต่แท้จริงแล้ว ต้นหูกวางมิได้มีเพียงความงามภายนอกเท่านั้น หากแต่ยังมีลักษณะทางพฤกษศาสตร์ที่น่าสนใจ และเรื่องราวความเชื่อที่สืบทอดกันมาแต่โบราณ

ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ของต้นหูกวาง

  • การจำแนกทางวิทยาศาสตร์:
    • วงศ์ (Family): Combretaceae (วงศ์กระทุ่มพร)
    • สกุล (Genus): Terminalia (สกุลหูกวาง)
    • สปีชีส์ (Species): Terminalia catappa L.
  • ชื่อสามัญ:
    • ภาษาไทย: หูกวาง, ผักกาดทะเล, มะเม่าควาย, ลูกผักกาด
    • ภาษาอังกฤษ: Sea Almond, Indian Almond, Tropical Almond, Catappa
  • ลักษณะทั่วไป:
    • ประเภท: ไม้ต้นผลัดใบ (Deciduous tree)
    • ความสูง: สูงได้ถึง 20-35 เมตร
    • ทรงพุ่ม: แผ่กว้างคล้ายร่ม หรือเป็นชั้นๆ (Pagoda-like) กิ่งก้านแตกออกในแนวขนานกับพื้น
    • ลำต้น: เปลือกต้นสีน้ำตาลเทา แตกเป็นร่องลึกตามยาวเมื่ออายุมากขึ้น
    • เรือนยอด: โปร่ง แผ่กว้าง
  • ใบ:
    • ชนิด: ใบเดี่ยว (Simple leaf)
    • การเรียงตัว: เรียงสลับถี่บริเวณปลายกิ่ง (Rosette)
    • รูปทรง: รูปไข่กลับ (Obovate) ปลายใบมน โคนใบสอบ
    • ขนาด: กว้าง 10-25 เซนติเมตร ยาว 15-30 เซนติเมตร
    • ขอบใบ: เรียบ เป็นคลื่นเล็กน้อย หรือหยักมนเล็กน้อย
    • เนื้อใบ: ค่อนข้างหนาคล้ายแผ่นหนัง ผิวใบเรียบเป็นมัน
    • สีใบ: อ่อนเป็นสีเขียวอ่อน เมื่อแก่จัดเป็นสีเขียวเข้ม ก่อนผลัดใบเปลี่ยนเป็นสีเหลือง ส้ม แดง หรือม่วงแดง สวยงาม
    • ก้านใบ: สั้น แข็งแรง
  • ดอก:
    • ชนิด: ช่อดอกแบบช่อเชิงลด (Spike) ออกตามซอกใบที่ปลายกิ่ง
    • ขนาด: ดอกขนาดเล็ก ไม่มีก้านดอกย่อย
    • สี: ขาวนวล หรือเขียวอ่อน
    • ส่วนประกอบดอก: กลีบเลี้ยง 5 กลีบ กลีบดอกไม่มี เกสรเพศผู้ 10 อัน เกสรเพศเมีย 1 อัน
    • กลิ่น: มีกลิ่นหอมอ่อนๆ
    • ฤดูดอก: ช่วงฤดูฝน หรือต้นฤดูหนาว (ในประเทศไทยมักพบดอกช่วงเดือนสิงหาคม – มกราคม)
  • ผล:
    • ชนิด: ผลสดแบบมีเนื้อเมล็ดเดียว (Drupe)
    • รูปทรง: รูปไข่ รูปรี หรือรูปกระสวย แบนเล็กน้อย มีสัน
    • ขนาด: กว้าง 2.5-3.5 เซนติเมตร ยาว 4-7 เซนติเมตร
    • เปลือกผล: เมื่ออ่อนสีเขียว เมื่อสุกเป็นสีเหลือง เขียวอมเหลือง หรือแดงอมม่วง เปลือกแข็งและเหนียว
    • เนื้อผล: มีเนื้อน้อย เป็นเส้นใย รสชาติหวานอมเปรี้ยวเล็กน้อย เมื่อสุกจัดจะร่วน
    • เมล็ด: มี 1 เมล็ด รูปรี แข็ง เปลือกหุ้มเมล็ดหนา
  • ระบบราก:
    • ระบบรากแก้ว: มีรากแก้วแข็งแรงหยั่งลึกลงดิน และมีรากแขนงแผ่ขยายด้านข้าง
  • การขยายพันธุ์:
    • เพาะเมล็ด: เป็นวิธีขยายพันธุ์หลัก
    • ตอนกิ่ง: สามารถทำได้ แต่ไม่นิยมเท่าการเพาะเมล็ด
  • ถิ่นกำเนิดและการกระจายพันธุ์:
    • ถิ่นกำเนิด: คาดว่ามีถิ่นกำเนิดในบริเวณเอเชียใต้ เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และหมู่เกาะในมหาสมุทรแปซิฟิก
    • การกระจายพันธุ์: แพร่กระจายทั่วไปในเขตร้อนชื้นทั่วโลก รวมถึงในประเทศไทย พบได้ตามป่าชายหาด ป่าเบญจพรรณ และพื้นที่เปิดโล่งทั่วไป

ต้นหูกวาง ประโยชน์ในด้านต่างๆ

  • ให้ร่มเงา: ทรงพุ่มแผ่กว้าง ให้ร่มเงาได้ดี นิยมปลูกริมถนน ในสวนสาธารณะ และบริเวณบ้านเรือน
  • ไม้ประดับ: ใบเปลี่ยนสีสวยงามในฤดูหนาว ดอกและผลมีลักษณะน่าสนใจ
  • ประโยชน์ทางยา: เปลือกต้น ใบ ผล และเมล็ด มีสรรพคุณทางยาพื้นบ้าน ใช้รักษาอาการต่างๆ เช่น ท้องเสีย แก้ร้อนใน แก้ไอ เจ็บคอ
  • ใช้สกัดสี: ใบและเปลือกผลให้สีน้ำตาล และสีเหลือง ใช้ในการย้อมผ้า และแห อวน
  • เมล็ด: เมล็ดในรับประทานได้ มีรสชาติคล้ายอัลมอนด์ แต่มีขนาดเล็ก และต้องนำไปคั่วหรืออบก่อน
  • น้ำมันจากเมล็ด: สกัดน้ำมันจากเมล็ดใช้ในอุตสาหกรรมสบู่ และเครื่องสำอาง
  • เปลือกต้น: มีแทนนิน ใช้ในการฟอกหนัง

ความเชื่อ เกี่ยวกับ ต้นหูกวาง

ความเชื่อในวัฒนธรรมจีนและเอเชีย

ในความเชื่อของชาวจีน ต้นหูกวางถือเป็นสัญลักษณ์ของความเจริญรุ่งเรืองและความมีบุญญาบารมี โดยใบของต้นหูกวางที่เปลี่ยนสีเป็นส้มแดงในช่วงปลายใบก่อนผลัด ถูกมองว่าเป็นสัญลักษณ์แห่ง “ลก” หรือความโชคดีและความรุ่งเรืองในชีวิต ชาวจีนมักจะนำใบหูกวางมาใช้เป็นเครื่องหมายในพิธีกรรมหรือประดับตกแต่งในงานเฉลิมฉลองต่าง ๆ เพื่อเสริมสร้างสิริมงคล [​

ความเชื่อในประเทศไทย

ในบางพื้นที่ของประเทศไทย ต้นหูกวางได้รับการยกย่องเป็นต้นไม้ประจำจังหวัดหรือเป็นสัญลักษณ์ที่เกี่ยวข้องกับความโชคดีและความมั่งคั่ง เช่น ในจังหวัดตราด ต้นหูกวางถูกถือเป็นต้นไม้ประจำจังหวัด นอกจากนี้ในบางโครงการหรือสถานที่ราชการ ต้นหูกวางถูกนำมาปลูกเพื่อให้ร่มเงาและเป็นสัญลักษณ์ของความยั่งยืนและความเจริญ

ต้นหูกวาง กับ สรรพคุณ ด้านต่างๆ

  • ฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ (Antioxidant activity): สารสกัดจากใบ เปลือกต้น และผลของต้นหูกวาง พบว่ามีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระสูง ซึ่งอาจมีส่วนช่วยในการป้องกันและลดความเสี่ยงของโรคเรื้อรังต่างๆ ที่เกิดจากความเสื่อมของเซลล์
  • ฤทธิ์ต้านการอักเสบ (Anti-inflammatory activity): สารสกัดจากส่วนต่างๆ ของต้นหูกวาง มีฤทธิ์ต้านการอักเสบ ซึ่งอาจเป็นประโยชน์ในการรักษาโรคที่เกี่ยวข้องกับการอักเสบ เช่น โรคผิวหนังอักเสบ แผลอักเสบ และอาการปวดเมื่อย
  • ฤทธิ์ต้านจุลชีพ (Antimicrobial activity): สารสกัดจากใบ เปลือกต้น และผลของต้นหูกวาง มีฤทธิ์ต้านเชื้อแบคทีเรีย เชื้อรา และเชื้อไวรัสบางชนิด ซึ่งอาจช่วยในการรักษาโรคติดเชื้อต่างๆ
  • ฤทธิ์ลดระดับน้ำตาลในเลือด (Antidiabetic activity): งานวิจัยบางชิ้นพบว่า สารสกัดจากต้นหูกวางอาจมีฤทธิ์ช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือด ซึ่งอาจเป็นประโยชน์สำหรับผู้ป่วยโรคเบาหวาน (อย่างไรก็ตาม ยังต้องการการศึกษาเพิ่มเติมเพื่อยืนยันผล)
  • ฤทธิ์ปกป้องตับ (Hepatoprotective activity): การศึกษาในสัตว์ทดลองพบว่า สารสกัดจากต้นหูกวางอาจมีฤทธิ์ปกป้องเซลล์ตับจากความเสียหายจากสารพิษ

ที่มาของชื่อ “Sea Almond/Indian Almond” ในภาษาอังกฤษ

จริงๆ แล้วผลหูกวาง ไม่ได้เป็นญาติ กับอัลมอนด์ที่เรากินกันแต่ที่ได้ชื่อนี้ก็เพราะ เมล็ดในผลหูกวางมีรสชาติคล้ายอัลมอนด์ นั่นเอง

วิธีการดูแลรักษาต้นหูกวาง

ต้นหูกวางเป็นไม้ที่ต้องการการดูแลไม่มากนัก แต่เพื่อให้ต้นเจริญเติบโตได้ดีและมีอายุยืนยาว การดูแลรักษาอย่างสม่ำเสมอจึงเป็นสิ่งสำคัญเช่นกัน

1. การให้น้ำ

  • ต้นกล้าและต้นอ่อน (อายุ 1-3 ปี): ในช่วงปีแรกๆ หลังปลูก ต้นหูกวางยังต้องการน้ำอย่างสม่ำเสมอ รดน้ำ 2-3 ครั้งต่อสัปดาห์ ในช่วงฤดูร้อน และ 1-2 ครั้งต่อสัปดาห์ ในช่วงฤดูฝน สังเกตดิน หากดินเริ่มแห้งก็ควรรดน้ำ
  • ต้นโตเต็มที่ (อายุ 3 ปีขึ้นไป): เมื่อต้นหูกวางมีอายุมากขึ้น และระบบรากแข็งแรงแล้ว จะทนทานต่อสภาพแห้งแล้งได้ดีขึ้น รดน้ำเฉพาะช่วงที่ ดินแห้งแล้งจัด เป็นเวลานาน หรือในช่วง ฤดูร้อนที่อากาศร้อนจัด โดยทั่วไปอาจรดน้ำ สัปดาห์ละ 1 ครั้ง หรือ เมื่อสังเกตว่าดินแห้ง
  • วิธีการรดน้ำ: รดน้ำให้ ชุ่มถึงราก สังเกตว่าน้ำซึมลงดินได้ดี ไม่ขังแฉะ หลีกเลี่ยงการรดน้ำบ่อยๆ แต่รดปริมาณน้อย เพราะจะทำให้รากตื้น และไม่แข็งแรง
  • ช่วงเวลารดน้ำ: ควรรดน้ำในช่วง เช้า หรือเย็น หลีกเลี่ยงการรดน้ำในช่วงกลางวันที่แดดร้อนจัด เพราะน้ำจะระเหยเร็ว และอาจทำให้ใบไหม้ได้

2. แสงแดด

  • ความต้องการแสงแดด: ต้นหูกวางเป็นไม้ที่ ชอบแสงแดดจัด ควรปลูกใน พื้นที่กลางแจ้ง ที่ได้รับแสงแดดเต็มที่ อย่างน้อย 6-8 ชั่วโมงต่อวัน
  • ผลกระทบของการขาดแสงแดด: หากปลูกในที่ร่ม หรือมีแสงแดดไม่เพียงพอ ต้นหูกวางจะ จริญเติบโตช้า กิ่งก้านยืดยาว ไม่แข็งแรง และ ใบอาจมีสีซีด ไม่สวยงาม

3. ดิน

  • ชนิดของดิน: ต้นหูกวาง ปรับตัวได้ดีกับดินหลายชนิด แต่จะเจริญเติบโตได้ดีที่สุดใน ดินร่วน ที่มี การระบายน้ำดี
  • การปรับปรุงดิน: หากดินปลูกเป็นดินเหนียว หรือดินทรายจัด ควรปรับปรุงดินโดยการ ผสมอินทรียวัตถุ เช่น ปุ๋ยหมัก ปุ๋ยคอก แกลบดิบ หรือใบไม้ผุ เพื่อเพิ่มความร่วนซุย และความอุดมสมบูรณ์ของดิน
  • ความเป็นกรด-ด่างของดิน (pH): ต้นหูกวางชอบดินที่มี ค่า pH เป็นกลาง ถึงเป็นกรดเล็กน้อย (pH 6.0 – 7.0)

4. การใส่ปุ๋ย

  • ความจำเป็นในการใส่ปุ๋ย: ต้นหูกวางไม่ต้องการปุ๋ยมากนัก แต่การใส่ปุ๋ยบ้างเป็นครั้งคราว จะช่วยให้ต้นเจริญเติบโตได้ดีขึ้น โดยเฉพาะในช่วง ต้นอ่อน และช่วงฤดูฝน ที่มีการเจริญเติบโต
  • ชนิดของปุ๋ย: แนะนำให้ใช้ ปุ๋ยอินทรีย์ เช่น ปุ๋ยหมัก ปุ๋ยคอก หรือปุ๋ยชีวภาพ เนื่องจากปลอดภัยต่อสิ่งแวดล้อม และช่วยปรับปรุงโครงสร้างดิน หากต้องการใช้ ปุ๋ยเคมี สามารถใช้ ปุ๋ยสูตรเสมอ เช่น สูตร 15-15-15 หรือ 16-16-16 ในปริมาณน้อยๆ
  • ความถี่ในการใส่ปุ๋ย: ใส่ปุ๋ย ปีละ 2-3 ครั้ง ในช่วง ต้นฤดูฝน กลางฤดูฝน และปลายฤดูฝน หรือตามความเหมาะสม หลีกเลี่ยงการใส่ปุ๋ยในช่วงฤดูแล้ง หรือช่วงที่ต้นกำลังผลัดใบ
  • วิธีการใส่ปุ๋ย: โรยปุ๋ยรอบโคนต้น ห่างจากโคนต้นประมาณ 30-50 เซนติเมตร แล้ว พรวนดินกลบเล็กน้อย และ รดน้ำตาม เพื่อให้ปุ๋ยละลายและซึมลงดิน

5. การป้องกันโรคและแมลง

  • โรคที่พบบ่อย: โดยทั่วไปต้นหูกวางค่อนข้างทนทานต่อโรค แต่ในสภาพอากาศที่ชื้น หรือมีการดูแลที่ไม่เหมาะสม อาจพบโรคเชื้อรา เช่น โรคใบจุดหรือ โรคราสนิม
  • แมลงศัตรู: แมลงศัตรูที่อาจพบ เช่น หนอนเจาะลำต้น เพลี้ยแป้ง ไรแดง
  • การป้องกันและกำจัด:
    • ดูแลต้นให้แข็งแรง: การดูแลต้นให้ได้รับน้ำ แสงแดด และปุ๋ยอย่างเหมาะสม จะช่วยให้ต้นแข็งแรง และต้านทานต่อโรคและแมลงได้ดีขึ้น
    • ตัดแต่งกิ่ง: การตัดแต่งกิ่งที่โปร่ง จะช่วยให้อากาศถ่ายเทได้สะดวก ลดความชื้น และลดความเสี่ยงของการเกิดโรคเชื้อรา
    • กำจัดวัชพืช: กำจัดวัชพืชรอบโคนต้นอย่างสม่ำเสมอ เพื่อลดแหล่งสะสมของโรคและแมลง
    • สำรวจโรคและแมลง: หมั่นสำรวจต้นอย่างสม่ำเสมอ หากพบโรค หรือแมลงระบาด ควรรีบทำการกำจัดด้วยการฉีดสารเคมีตามความเหมาะสม

อ่านบทความดีๆกันแล้ว
แล้วอย่าลืม แอดไลน์ มาเป็นเพื่อนกัน เพื่อให้ท่านไม่พลาดข่าวสารและโปรโมชั่นดีๆจากทางร้าน

เพิ่มเพื่อน

error: Content is protected !!