Last Updated on พฤษภาคม 7, 2025 by admin
ถั่วลิสง (Arachis hypogaea L.) พืชเศรษฐกิจมากประโยชน์ที่ปลูกง่าย ให้ผลตอบแทนดี และยังช่วยบำรุงดินอีกด้วย บทความนี้ได้รวบรวมข้อมูลและความรู้ที่ทันสมัย ครอบคลุมทุกแง่มุมของการปลูกถั่วลิสง ตั้งแต่การเตรียมดิน การดูแลรักษา ไปจนถึงการเก็บเกี่ยว พร้อมเทคนิคเพิ่มผลผลิต เพื่อให้เกษตรกรและผู้สนใจสามารถนำไปปรับใช้และสร้างรายได้ที่ยั่งยืน
โอกาสของการปลูกถั่วลิสงในประเทศไทย
ถั่วลิสงเป็นพืชที่ตลาดมีความต้องการอย่างต่อเนื่อง ทั้งเพื่อการบริโภคโดยตรงในรูปถั่วต้ม ถั่วคั่ว และใช้เป็นวัตถุดิบในอุตสาหกรรมอาหารและน้ำมันพืช การปลูกถั่วลิสงจึงเป็นอีกทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับเกษตรกร โดยเฉพาะอย่างยิ่งในพื้นที่หลังการทำนา หรือพื้นที่ที่ต้องการปลูกพืชอายุสั้นใช้น้ำน้อย นอกจากนี้ การปลูกพืชตระกูลถั่วยังช่วยปรับปรุงโครงสร้างดิน เพิ่มอินทรียวัตถุ และลดการใช้ปุ๋ยไนโตรเจนในพืชปลูกครั้งต่อไป
การเลือกพันธุ์เพื่อ ปลูกถั่วลิสง: จุดเริ่มต้นสู่ความสำเร็จ
การเลือกพันธุ์ที่เหมาะสมกับสภาพพื้นที่และความต้องการของตลาดเป็นปัจจัยสำคัญอันดับแรก ปัจจุบันมีพันธุ์ถั่วลิสงแนะนำหลากหลายพันธุ์จากกรมวิชาการเกษตรและสถาบันวิจัยต่างๆ อาทิ:
- พันธุ์ขอนแก่น 6: ให้ผลผลิตสูง ปรับตัวได้ดีในหลายพื้นที่ เหมาะสำหรับปลูกในฤดูฝนและในแหล่งชลประทานในฤดูแล้ง อย่างไรก็ตาม ควรระวังโรคโคนเน่าขาด และหากนำเมล็ดที่เก็บเกี่ยวไม่ถึง 4 สัปดาห์ไปปลูก ควรคลุกด้วยสารกระตุ้นการงอก
- พันธุ์เกษตรศาสตร์เคยู อาร์ด้า 20 (KU Arda 20): จุดเด่นคือผลผลิตสูง อายุเก็บเกี่ยวเหมาะสม ปรับตัวได้ดีในภาคเหนือและภาคกลาง ขนาดเมล็ดได้มาตรฐานเหมาะสำหรับการแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ถั่วลิสงอบกรอบและถั่วเคลือบ
- พันธุ์ไทนาน 9: เป็นพันธุ์เก่าแก่ที่ยังคงได้รับความนิยม ปรับตัวได้ค่อนข้างดี
- พันธุ์ มข. (มหาวิทยาลัยขอนแก่น): มีการพัฒนาพันธุ์ใหม่อย่างต่อเนื่อง เช่น มข 60 ที่มีลักษณะเมล็ดโต ให้ผลผลิตสูง
ข้อควรพิจารณาในการเลือกพันธุ์:
- วัตถุประสงค์การปลูก: เพื่อบริโภคสด แปรรูป หรือขายฝักแห้ง
- สภาพภูมิอากาศและแหล่งน้ำ: บางพันธุ์ทนแล้งได้ดี บางพันธุ์ต้องการน้ำสม่ำเสมอ
- ความต้านทานโรคและแมลง: เลือกพันธุ์ที่ต้านทานศัตรูพืชสำคัญในพื้นที่
- อายุการเก็บเกี่ยว: ให้สอดคล้องกับแผนการเพาะปลูก
การเตรียมดินปลูกถั่วลิสง: รากฐานสำคัญของผลผลิต
ดินที่เหมาะสมกับการปลูกถั่วลิสงคือดินร่วนปนทราย มีการระบายน้ำและอากาศดี หน้าดินลึกอย่างน้อย 30 เซนติเมตร และมีค่าความเป็นกรดด่าง (pH) ระหว่าง 5.5 – 6.5
ขั้นตอนการเตรียมดิน:
- การไถพรวน:
- ฤดูฝน: หากวัชพืชไม่หนาแน่น อาจไถเปิดร่องแล้วหยอดเมล็ดได้เลย หากมีวัชพืชหนาแน่น ให้ไถดะลึกประมาณ 10-20 เซนติเมตร ตากดินไว้ 7-10 วันเพื่อฆ่าเชื้อโรคและวัชพืช จากนั้นไถแปรหรือพรวนอีก 1-2 ครั้ง และคราดเก็บเศษซากวัชพืชออก
- ฤดูแล้ง (อาศัยน้ำชลประทาน): ควรไถพรวนดินให้ร่วนซุยแล้วยกร่องปลูก เพื่อให้ดินบริเวณรากและฝักร่วนซุย การให้น้ำสะดวก ความกว้างสันร่องขึ้นอยู่กับชนิดดิน โดยทั่วไปประมาณ 0.6-1.5 เมตร ปลูกได้ 2-4 แถวต่อร่อง
- ฤดูแล้ง (อาศัยความชื้นในดิน): ต้องเตรียมดินให้ละเอียด โดยไถดิน 2 ครั้ง และพรวน 2 ครั้ง ไถเปิดร่องแล้วหยอดเมล็ด จากนั้นคราดกลบและย่อยหน้าดินให้ละเอียด
- การปรับปรุงดิน:
- หากดินเป็นกรดจัด ควรใส่ปูนขาวหรือโดโลไมท์เพื่อปรับค่า pH
- ใส่ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมักอัตรา 1.5-2 ตันต่อไร่ เพื่อเพิ่มอินทรียวัตถุและความอุดมสมบูรณ์ของดิน
การปลูกถั่วลิสง: เทคนิคเพื่อให้งอกดีและเติบโตสม่ำเสมอ
ฤดูปลูก:
- ต้นฤดูฝน (เมษายน-พฤษภาคม): เป็นช่วงที่นิยมปลูกมากที่สุด อาศัยน้ำฝนธรรมชาติ
- ปลายฤดูฝน (กรกฎาคม-สิงหาคม): สำหรับพื้นที่ที่ยังมีฝนหรือมีแหล่งน้ำเสริม
- ฤดูแล้ง:
- อาศัยน้ำชลประทาน (ธันวาคม-มกราคม): เหมาะสำหรับพื้นที่ในเขตชลประทาน
- อาศัยความชื้นในดินหลังทำนา (ตุลาคม-พฤศจิกายน): ปลูกตามหลังการเก็บเกี่ยวข้าวโดยอาศัยความชื้นที่เหลืออยู่ในดิน
วิธีการปลูก:
- การเตรียมเมล็ดพันธุ์:
- เลือกใช้เมล็ดพันธุ์ที่มีคุณภาพดี สมบูรณ์ ไม่ลีบ ไม่มีเชื้อรา อัตราการงอกสูง
- การคลุกเชื้อไรโซเบียม: ในพื้นที่เปิดใหม่หรือดินที่ไม่เคยปลูกถั่วลิสงมาก่อน หรือดินมีความอุดมสมบูรณ์ต่ำ ควรคลุกเมล็ดด้วยเชื้อไรโซเบียม (ประมาณ 200 กรัมต่อเมล็ด 12-15 กิโลกรัม) เพื่อช่วยในการตรึงไนโตรเจนจากอากาศ ทำให้ลดการใช้ปุ๋ยไนโตรเจน โดยเคล้าเมล็ดกับน้ำเล็กน้อยพอให้ผิวเมล็ดชื้น แล้วจึงใส่เชื้อไรโซเบียมคลุกเคล้าให้ทั่ว ควรปลูกเมล็ดที่คลุกเชื้อแล้วให้หมดภายในวันเดียวกัน หรือเก็บในที่ร่มไม่เกิน 24 ชั่วโมง
- การคลุกสารป้องกันเชื้อราและแมลง: อาจคลุกเมล็ดด้วยสารเคมีป้องกันโรครากเน่าโคนเน่าและแมลงศัตรูพืชในดินตามคำแนะนำ
- วิธีการหยอดเมล็ด:
- ระยะปลูก: ระยะห่างระหว่างแถว 50 เซนติเมตร และระยะห่างระหว่างหลุม 20 เซนติเมตร
- จำนวนเมล็ด: หยอดหลุมละ 2-3 เมล็ด (หากเมล็ดพันธุ์มีเปอร์เซ็นต์ความงอกสูง อาจหยอด 1-2 เมล็ด)
- ความลึก: ปลูกลึกประมาณ 5-8 เซนติเมตร หากปลูกในฤดูแล้งโดยอาศัยความชื้นในดิน ควรปลูกให้ลึกขึ้นประมาณ 10 เซนติเมตร เพื่อให้เมล็ดได้รับความชื้นเพียงพอ
- อัตราเมล็ดพันธุ์: ประมาณ 15-20 กิโลกรัมต่อไร่ ขึ้นอยู่กับขนาดเมล็ดและระยะปลูก
- การกลบดิน: หลังหยอดเมล็ดให้กลบดินและกดเบาๆ หรือคราดหน้าดินให้สม่ำเสมอเพื่อช่วยให้เมล็ดงอกดีขึ้น
- การคลุมดิน : การใช้ฟางข้าวหรือวัสดุคลุมดินอื่นๆ คลุมแปลงหลังปลูกจะช่วยรักษาความชื้นในดิน ควบคุมวัชพืช และเพิ่มเปอร์เซ็นต์การงอกของเมล็ดได้ดี โดยเฉพาะการปลูกในฤดูแล้ง
การดูแลรักษาถั่วลิสง: กุญแจสู่ผลผลิตเต็มเม็ดเต็มหน่วย
การให้น้ำ:
- ถั่วลิสงเป็นพืชที่ต้องการน้ำไม่มากเท่าข้าว แต่ก็ไม่ควรปล่อยให้ขาดน้ำ โดยเฉพาะในช่วงสำคัญคือ:
- ระยะงอกและตั้งตัว (0-30 วัน): ดินควรมีความชื้นสม่ำเสมอ
- ระยะออกดอกและแทงเข็ม (30-60 วันหลังงอก): เป็นช่วงวิกฤตที่ต้องการน้ำมาก หากขาดน้ำในช่วงนี้จะทำให้ผลผลิตลดลงอย่างมาก ฝักลีบ
- ระยะสร้างฝักและเมล็ด (60 วันขึ้นไป): ยังคงต้องการน้ำ แต่สามารถลดปริมาณลงได้บ้าง
- วิธีการให้น้ำ:
- ปลูกในฤดูฝน: อาศัยน้ำฝนเป็นหลัก หากฝนทิ้งช่วงจำเป็นต้องให้น้ำเสริม
- ปลูกแบบให้น้ำชลประทาน: ให้น้ำเข้าตามร่องทุก 7-10 วัน หรือสังเกตความชื้นในดิน อย่าปล่อยให้ดินแห้งแตกระแหง หรือน้ำขังแฉะ
การใส่ปุ๋ย:
- ปุ๋ยรองพื้น: ใส่พร้อมปลูกหรือหลังงอกไม่เกิน 15-20 วัน
- สูตรที่แนะนำ: 12-24-12 หรือ 15-15-15 หรือ 3-9-6 (N-P$_2$O$_5$-K$_2$O) อัตราประมาณ 25-50 กิโลกรัมต่อไร่ ขึ้นอยู่กับความอุดมสมบูรณ์ของดิน (เช่น ปุ๋ยสูตร 18-46-0 อัตรา 17 กก./ไร่ ร่วมกับ 0-0-60 อัตรา 10 กก./ไร่)
- โรยปุ๋ยข้างแถวปลูกแล้วพรวนดินกลบ
- การคลุกเชื้อไรโซเบียม: ช่วยลดความต้องการปุ๋ยไนโตรเจน
- การใส่แคลเซียม: ดินทรายหรือดินที่มีแคลเซียมต่ำ (< 120 ppm) ควรมีการใส่ยิปซัม (แคลเซียมซัลเฟต) อัตราประมาณ 50 กิโลกรัมต่อไร่ ในช่วงถั่วลิสงเริ่มออกดอกถึงแทงเข็ม (อายุประมาณ 30-40 วัน) โดยโรยบริเวณโคนต้นหรือข้างแถว เพื่อช่วยให้ฝักเต่งตึง ลดปัญหาเมล็ดลีบ และเพิ่มเปอร์เซ็นต์การกะเทาะ
การเก็บเกี่ยวและการปฏิบัติหลังการเก็บเกี่ยว
การกำหนดอายุเก็บเกี่ยว:
- นับอายุ: โดยทั่วไปถั่วลิสงจะมีอายุเก็บเกี่ยวประมาณ 80-90 วันสำหรับฝักสด และ 95-125 วันสำหรับฝักแห้ง ขึ้นอยู่กับพันธุ์ ฤดูปลูก และสภาพแวดล้อม (การปลูกในฤดูแล้งมักมีอายุเก็บเกี่ยวนานกว่าฤดูฝน 5-10 วัน)
- สังเกตลักษณะภายนอก: ใบเริ่มเหลืองและร่วงหล่น
- สังเกตลักษณะภายในฝัก: สุ่มถอนต้นถั่วลิสงขึ้นมาตรวจสอบ (ประมาณ 10 จุดต่อไร่) แกะเปลือกฝักดู หากเยื่อหุ้มเมล็ดด้านในเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลหรือน้ำตาลดำมากกว่า 60% แสดงว่าแก่พอที่จะเก็บเกี่ยวได้
วิธีการเก็บเกี่ยว:
- ควรถอนหรือขุดในขณะที่ดินยังมีความชื้นพอเหมาะ เพื่อให้ถอนง่ายและฝักไม่เสียหาย
- ระมัดระวังอย่าให้ฝักเกิดรอยแผล เพราะจะทำให้เชื้อราเข้าทำลายได้ง่ายระหว่างการตากและการเก็บรักษา
- หลังถอน ให้ปลิดฝักออกจากต้น อาจเด็ดด้วยมือหรือใช้เครื่องปลิดฝัก
การปฏิบัติหลังการเก็บเกี่ยว:
- การทำความสะอาด: คัดแยกฝักที่เน่าเสีย เป็นโรค หรือถูกแมลงทำลายทิ้งไป
- การลดความชื้น (การตาก):
- นำฝักถั่วลิสงไปตากแดดทันที โดยตากบนแคร่ ตะแกรงตาข่าย หรือผ้าใบ ไม่ควรตากบนพื้นดินโดยตรง
- กองถั่วหนาไม่เกิน 5 เซนติเมตร และพลิกกลับกองถั่ววันละ 2-3 ครั้ง เพื่อให้ฝักแห้งสม่ำเสมอ
- ใช้เวลาตากประมาณ 3-5 วันในที่มีแดดจัด จนความชื้นของเมล็ดลดลงต่ำกว่า 9-10% สำหรับถั่วฝักแห้ง
- การเก็บรักษา:
- เก็บถั่วลิสงฝักแห้งในภาชนะที่โปร่ง อากาศถ่ายเทได้ดี เช่น ถุงปอกระเจา กระสอบตาข่าย หรือเข่ง
- สถานที่เก็บควรแห้ง สะอาด ป้องกันฝน แสงแดด และสัตว์ศัตรู เช่น หนู มอด ได้
- หากจะเก็บเป็นเมล็ดพันธุ์ ควรเก็บในรูปฝักจะรักษาคุณภาพได้นานกว่า และเมล็ดขนาดกลางจะเก็บได้นานกว่าเมล็ดขนาดใหญ่หรือเล็ก
อ่านบทความดีๆกันแล้ว
แล้วอย่าลืม แอดไลน์ มาเป็นเพื่อนกัน เพื่อให้ท่านไม่พลาดข่าวสารและโปรโมชั่นดีๆจากทางร้าน