พฤษภาคม 21, 2025

Blog

ปลูกถั่วลิสงเองง่ายๆ ที่บ้าน มือใหม่ก็ทำตามได้ผลผลิตงาม

คลังบทความ
ฝากกดแชร์เป็นกำลังใจให้ด้วยนะคะ

Last Updated on พฤษภาคม 7, 2025 by admin

ถั่วลิสง (Arachis hypogaea L.) พืชเศรษฐกิจมากประโยชน์ที่ปลูกง่าย ให้ผลตอบแทนดี และยังช่วยบำรุงดินอีกด้วย บทความนี้ได้รวบรวมข้อมูลและความรู้ที่ทันสมัย ครอบคลุมทุกแง่มุมของการปลูกถั่วลิสง ตั้งแต่การเตรียมดิน การดูแลรักษา ไปจนถึงการเก็บเกี่ยว พร้อมเทคนิคเพิ่มผลผลิต เพื่อให้เกษตรกรและผู้สนใจสามารถนำไปปรับใช้และสร้างรายได้ที่ยั่งยืน

โอกาสของการปลูกถั่วลิสงในประเทศไทย

ถั่วลิสงเป็นพืชที่ตลาดมีความต้องการอย่างต่อเนื่อง ทั้งเพื่อการบริโภคโดยตรงในรูปถั่วต้ม ถั่วคั่ว และใช้เป็นวัตถุดิบในอุตสาหกรรมอาหารและน้ำมันพืช การปลูกถั่วลิสงจึงเป็นอีกทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับเกษตรกร โดยเฉพาะอย่างยิ่งในพื้นที่หลังการทำนา หรือพื้นที่ที่ต้องการปลูกพืชอายุสั้นใช้น้ำน้อย นอกจากนี้ การปลูกพืชตระกูลถั่วยังช่วยปรับปรุงโครงสร้างดิน เพิ่มอินทรียวัตถุ และลดการใช้ปุ๋ยไนโตรเจนในพืชปลูกครั้งต่อไป

การเลือกพันธุ์เพื่อ ปลูกถั่วลิสง: จุดเริ่มต้นสู่ความสำเร็จ

การเลือกพันธุ์ที่เหมาะสมกับสภาพพื้นที่และความต้องการของตลาดเป็นปัจจัยสำคัญอันดับแรก ปัจจุบันมีพันธุ์ถั่วลิสงแนะนำหลากหลายพันธุ์จากกรมวิชาการเกษตรและสถาบันวิจัยต่างๆ อาทิ:

  • พันธุ์ขอนแก่น 6: ให้ผลผลิตสูง ปรับตัวได้ดีในหลายพื้นที่ เหมาะสำหรับปลูกในฤดูฝนและในแหล่งชลประทานในฤดูแล้ง อย่างไรก็ตาม ควรระวังโรคโคนเน่าขาด และหากนำเมล็ดที่เก็บเกี่ยวไม่ถึง 4 สัปดาห์ไปปลูก ควรคลุกด้วยสารกระตุ้นการงอก
  • พันธุ์เกษตรศาสตร์เคยู อาร์ด้า 20 (KU Arda 20): จุดเด่นคือผลผลิตสูง อายุเก็บเกี่ยวเหมาะสม ปรับตัวได้ดีในภาคเหนือและภาคกลาง ขนาดเมล็ดได้มาตรฐานเหมาะสำหรับการแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ถั่วลิสงอบกรอบและถั่วเคลือบ
  • พันธุ์ไทนาน 9: เป็นพันธุ์เก่าแก่ที่ยังคงได้รับความนิยม ปรับตัวได้ค่อนข้างดี
  • พันธุ์ มข. (มหาวิทยาลัยขอนแก่น): มีการพัฒนาพันธุ์ใหม่อย่างต่อเนื่อง เช่น มข 60 ที่มีลักษณะเมล็ดโต ให้ผลผลิตสูง

ข้อควรพิจารณาในการเลือกพันธุ์:

  • วัตถุประสงค์การปลูก: เพื่อบริโภคสด แปรรูป หรือขายฝักแห้ง
  • สภาพภูมิอากาศและแหล่งน้ำ: บางพันธุ์ทนแล้งได้ดี บางพันธุ์ต้องการน้ำสม่ำเสมอ
  • ความต้านทานโรคและแมลง: เลือกพันธุ์ที่ต้านทานศัตรูพืชสำคัญในพื้นที่
  • อายุการเก็บเกี่ยว: ให้สอดคล้องกับแผนการเพาะปลูก

การเตรียมดินปลูกถั่วลิสง: รากฐานสำคัญของผลผลิต

ดินที่เหมาะสมกับการปลูกถั่วลิสงคือดินร่วนปนทราย มีการระบายน้ำและอากาศดี หน้าดินลึกอย่างน้อย 30 เซนติเมตร และมีค่าความเป็นกรดด่าง (pH) ระหว่าง 5.5 – 6.5

ขั้นตอนการเตรียมดิน:

  1. การไถพรวน:
    • ฤดูฝน: หากวัชพืชไม่หนาแน่น อาจไถเปิดร่องแล้วหยอดเมล็ดได้เลย หากมีวัชพืชหนาแน่น ให้ไถดะลึกประมาณ 10-20 เซนติเมตร ตากดินไว้ 7-10 วันเพื่อฆ่าเชื้อโรคและวัชพืช จากนั้นไถแปรหรือพรวนอีก 1-2 ครั้ง และคราดเก็บเศษซากวัชพืชออก
    • ฤดูแล้ง (อาศัยน้ำชลประทาน): ควรไถพรวนดินให้ร่วนซุยแล้วยกร่องปลูก เพื่อให้ดินบริเวณรากและฝักร่วนซุย การให้น้ำสะดวก ความกว้างสันร่องขึ้นอยู่กับชนิดดิน โดยทั่วไปประมาณ 0.6-1.5 เมตร ปลูกได้ 2-4 แถวต่อร่อง
    • ฤดูแล้ง (อาศัยความชื้นในดิน): ต้องเตรียมดินให้ละเอียด โดยไถดิน 2 ครั้ง และพรวน 2 ครั้ง ไถเปิดร่องแล้วหยอดเมล็ด จากนั้นคราดกลบและย่อยหน้าดินให้ละเอียด
  2. การปรับปรุงดิน:
    • หากดินเป็นกรดจัด ควรใส่ปูนขาวหรือโดโลไมท์เพื่อปรับค่า pH
    • ใส่ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมักอัตรา 1.5-2 ตันต่อไร่ เพื่อเพิ่มอินทรียวัตถุและความอุดมสมบูรณ์ของดิน

การปลูกถั่วลิสง: เทคนิคเพื่อให้งอกดีและเติบโตสม่ำเสมอ

ฤดูปลูก:

  • ต้นฤดูฝน (เมษายน-พฤษภาคม): เป็นช่วงที่นิยมปลูกมากที่สุด อาศัยน้ำฝนธรรมชาติ
  • ปลายฤดูฝน (กรกฎาคม-สิงหาคม): สำหรับพื้นที่ที่ยังมีฝนหรือมีแหล่งน้ำเสริม
  • ฤดูแล้ง:
    • อาศัยน้ำชลประทาน (ธันวาคม-มกราคม): เหมาะสำหรับพื้นที่ในเขตชลประทาน
    • อาศัยความชื้นในดินหลังทำนา (ตุลาคม-พฤศจิกายน): ปลูกตามหลังการเก็บเกี่ยวข้าวโดยอาศัยความชื้นที่เหลืออยู่ในดิน

วิธีการปลูก:

  1. การเตรียมเมล็ดพันธุ์:
    • เลือกใช้เมล็ดพันธุ์ที่มีคุณภาพดี สมบูรณ์ ไม่ลีบ ไม่มีเชื้อรา อัตราการงอกสูง
    • การคลุกเชื้อไรโซเบียม: ในพื้นที่เปิดใหม่หรือดินที่ไม่เคยปลูกถั่วลิสงมาก่อน หรือดินมีความอุดมสมบูรณ์ต่ำ ควรคลุกเมล็ดด้วยเชื้อไรโซเบียม (ประมาณ 200 กรัมต่อเมล็ด 12-15 กิโลกรัม) เพื่อช่วยในการตรึงไนโตรเจนจากอากาศ ทำให้ลดการใช้ปุ๋ยไนโตรเจน โดยเคล้าเมล็ดกับน้ำเล็กน้อยพอให้ผิวเมล็ดชื้น แล้วจึงใส่เชื้อไรโซเบียมคลุกเคล้าให้ทั่ว ควรปลูกเมล็ดที่คลุกเชื้อแล้วให้หมดภายในวันเดียวกัน หรือเก็บในที่ร่มไม่เกิน 24 ชั่วโมง
    • การคลุกสารป้องกันเชื้อราและแมลง: อาจคลุกเมล็ดด้วยสารเคมีป้องกันโรครากเน่าโคนเน่าและแมลงศัตรูพืชในดินตามคำแนะนำ
  2. วิธีการหยอดเมล็ด:
    • ระยะปลูก: ระยะห่างระหว่างแถว 50 เซนติเมตร และระยะห่างระหว่างหลุม 20 เซนติเมตร
    • จำนวนเมล็ด: หยอดหลุมละ 2-3 เมล็ด (หากเมล็ดพันธุ์มีเปอร์เซ็นต์ความงอกสูง อาจหยอด 1-2 เมล็ด)
    • ความลึก: ปลูกลึกประมาณ 5-8 เซนติเมตร หากปลูกในฤดูแล้งโดยอาศัยความชื้นในดิน ควรปลูกให้ลึกขึ้นประมาณ 10 เซนติเมตร เพื่อให้เมล็ดได้รับความชื้นเพียงพอ
    • อัตราเมล็ดพันธุ์: ประมาณ 15-20 กิโลกรัมต่อไร่ ขึ้นอยู่กับขนาดเมล็ดและระยะปลูก
  3. การกลบดิน: หลังหยอดเมล็ดให้กลบดินและกดเบาๆ หรือคราดหน้าดินให้สม่ำเสมอเพื่อช่วยให้เมล็ดงอกดีขึ้น
  4. การคลุมดิน : การใช้ฟางข้าวหรือวัสดุคลุมดินอื่นๆ คลุมแปลงหลังปลูกจะช่วยรักษาความชื้นในดิน ควบคุมวัชพืช และเพิ่มเปอร์เซ็นต์การงอกของเมล็ดได้ดี โดยเฉพาะการปลูกในฤดูแล้ง

การดูแลรักษาถั่วลิสง: กุญแจสู่ผลผลิตเต็มเม็ดเต็มหน่วย

การให้น้ำ:

  • ถั่วลิสงเป็นพืชที่ต้องการน้ำไม่มากเท่าข้าว แต่ก็ไม่ควรปล่อยให้ขาดน้ำ โดยเฉพาะในช่วงสำคัญคือ:
    • ระยะงอกและตั้งตัว (0-30 วัน): ดินควรมีความชื้นสม่ำเสมอ
    • ระยะออกดอกและแทงเข็ม (30-60 วันหลังงอก): เป็นช่วงวิกฤตที่ต้องการน้ำมาก หากขาดน้ำในช่วงนี้จะทำให้ผลผลิตลดลงอย่างมาก ฝักลีบ
    • ระยะสร้างฝักและเมล็ด (60 วันขึ้นไป): ยังคงต้องการน้ำ แต่สามารถลดปริมาณลงได้บ้าง
  • วิธีการให้น้ำ:
    • ปลูกในฤดูฝน: อาศัยน้ำฝนเป็นหลัก หากฝนทิ้งช่วงจำเป็นต้องให้น้ำเสริม
    • ปลูกแบบให้น้ำชลประทาน: ให้น้ำเข้าตามร่องทุก 7-10 วัน หรือสังเกตความชื้นในดิน อย่าปล่อยให้ดินแห้งแตกระแหง หรือน้ำขังแฉะ

การใส่ปุ๋ย:

  • ปุ๋ยรองพื้น: ใส่พร้อมปลูกหรือหลังงอกไม่เกิน 15-20 วัน
    • สูตรที่แนะนำ: 12-24-12 หรือ 15-15-15 หรือ 3-9-6 (N-P$_2$O$_5$-K$_2$O) อัตราประมาณ 25-50 กิโลกรัมต่อไร่ ขึ้นอยู่กับความอุดมสมบูรณ์ของดิน (เช่น ปุ๋ยสูตร 18-46-0 อัตรา 17 กก./ไร่ ร่วมกับ 0-0-60 อัตรา 10 กก./ไร่)
    • โรยปุ๋ยข้างแถวปลูกแล้วพรวนดินกลบ
  • การคลุกเชื้อไรโซเบียม: ช่วยลดความต้องการปุ๋ยไนโตรเจน
  • การใส่แคลเซียม: ดินทรายหรือดินที่มีแคลเซียมต่ำ (< 120 ppm) ควรมีการใส่ยิปซัม (แคลเซียมซัลเฟต) อัตราประมาณ 50 กิโลกรัมต่อไร่ ในช่วงถั่วลิสงเริ่มออกดอกถึงแทงเข็ม (อายุประมาณ 30-40 วัน) โดยโรยบริเวณโคนต้นหรือข้างแถว เพื่อช่วยให้ฝักเต่งตึง ลดปัญหาเมล็ดลีบ และเพิ่มเปอร์เซ็นต์การกะเทาะ

การเก็บเกี่ยวและการปฏิบัติหลังการเก็บเกี่ยว

การกำหนดอายุเก็บเกี่ยว:

  • นับอายุ: โดยทั่วไปถั่วลิสงจะมีอายุเก็บเกี่ยวประมาณ 80-90 วันสำหรับฝักสด และ 95-125 วันสำหรับฝักแห้ง ขึ้นอยู่กับพันธุ์ ฤดูปลูก และสภาพแวดล้อม (การปลูกในฤดูแล้งมักมีอายุเก็บเกี่ยวนานกว่าฤดูฝน 5-10 วัน)
  • สังเกตลักษณะภายนอก: ใบเริ่มเหลืองและร่วงหล่น
  • สังเกตลักษณะภายในฝัก: สุ่มถอนต้นถั่วลิสงขึ้นมาตรวจสอบ (ประมาณ 10 จุดต่อไร่) แกะเปลือกฝักดู หากเยื่อหุ้มเมล็ดด้านในเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลหรือน้ำตาลดำมากกว่า 60% แสดงว่าแก่พอที่จะเก็บเกี่ยวได้

วิธีการเก็บเกี่ยว:

  • ควรถอนหรือขุดในขณะที่ดินยังมีความชื้นพอเหมาะ เพื่อให้ถอนง่ายและฝักไม่เสียหาย
  • ระมัดระวังอย่าให้ฝักเกิดรอยแผล เพราะจะทำให้เชื้อราเข้าทำลายได้ง่ายระหว่างการตากและการเก็บรักษา
  • หลังถอน ให้ปลิดฝักออกจากต้น อาจเด็ดด้วยมือหรือใช้เครื่องปลิดฝัก

การปฏิบัติหลังการเก็บเกี่ยว:

  1. การทำความสะอาด: คัดแยกฝักที่เน่าเสีย เป็นโรค หรือถูกแมลงทำลายทิ้งไป
  2. การลดความชื้น (การตาก):
    • นำฝักถั่วลิสงไปตากแดดทันที โดยตากบนแคร่ ตะแกรงตาข่าย หรือผ้าใบ ไม่ควรตากบนพื้นดินโดยตรง
    • กองถั่วหนาไม่เกิน 5 เซนติเมตร และพลิกกลับกองถั่ววันละ 2-3 ครั้ง เพื่อให้ฝักแห้งสม่ำเสมอ
    • ใช้เวลาตากประมาณ 3-5 วันในที่มีแดดจัด จนความชื้นของเมล็ดลดลงต่ำกว่า 9-10% สำหรับถั่วฝักแห้ง
  3. การเก็บรักษา:
    • เก็บถั่วลิสงฝักแห้งในภาชนะที่โปร่ง อากาศถ่ายเทได้ดี เช่น ถุงปอกระเจา กระสอบตาข่าย หรือเข่ง
    • สถานที่เก็บควรแห้ง สะอาด ป้องกันฝน แสงแดด และสัตว์ศัตรู เช่น หนู มอด ได้
    • หากจะเก็บเป็นเมล็ดพันธุ์ ควรเก็บในรูปฝักจะรักษาคุณภาพได้นานกว่า และเมล็ดขนาดกลางจะเก็บได้นานกว่าเมล็ดขนาดใหญ่หรือเล็ก

อ่านบทความดีๆกันแล้ว
แล้วอย่าลืม แอดไลน์ มาเป็นเพื่อนกัน เพื่อให้ท่านไม่พลาดข่าวสารและโปรโมชั่นดีๆจากทางร้าน

เพิ่มเพื่อน

error: Content is protected !!