Last Updated on กุมภาพันธ์ 3, 2025 by admin
ผักหวาน…ชื่อก็บอกว่าหวาน แต่ความหวานนั้นมีสองแบบ! ใครที่เคยลิ้มลองรสชาติของผักหวาน คงจะรู้ถึงความแตกต่างระหว่าง “ผักหวานบ้าน” กับ “ผักหวานป่า” ผักหวานทั้งสองชนิดนี้ ไม่ได้มีดีแค่รสชาติที่อร่อย แต่ยังอัดแน่นไปด้วยคุณประโยชน์ต่อร่างกาย วันนี้เราจะพาไปทำความรู้จักกับผักหวานทั้งสองชนิด พร้อมเปิดเคล็ดลับการปลูกผักหวานให้ได้ผลผลิตงอกงาม สร้างรายได้เสริมแบบปังๆ
ผักหวานบ้าน vs ผักหวานป่า: ความเหมือนที่แตกต่าง
ถึงแม้จะชื่อ “ผักหวาน” เหมือนกัน แต่ผักหวานบ้านและผักหวานป่าก็มีความแตกต่างกันในหลายด้าน

ขั้นตอนการ ปลูกผักหวาน
1. รู้จักผักหวาน: เลือกพันธุ์ที่ใช่ สไตล์ที่ชอบ
ผักหวานมี 2 ชนิดหลักๆ คือ ผักหวานบ้านและผักหวานป่า แต่ละชนิดก็มีข้อดีข้อเสียต่างกันไป
- ผักหวานบ้าน: ปลูกง่าย โตเร็ว ให้ผลผลิตเร็ว แต่รสชาติอาจไม่หวานเท่าผักหวานป่า
- ผักหวานป่า: รสชาติหวานกว่า หอมกว่า แต่ปลูกยากกว่า ต้องใช้เวลาและความอดทน
2. เตรียมดิน เตรียมสถานที่ให้พร้อม
ผักหวานชอบดินร่วนปนทราย ระบายน้ำได้ดี และมีอินทรียวัตถุสูง แสงแดดก็สำคัญ แต่ผักหวานป่าต้องการร่มเงาในช่วงแรกของการปลูก
- เตรียมดิน: ไถพรวนดินให้ลึก 30-40 ซม. กำจัดวัชพืช ปรุงดินด้วยปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมัก
- ทำค้าง: ผักหวานเป็นไม้เลื้อย ต้องมีค้างให้เลื้อย ค้างอาจทำจากเสาปูน เสาไม้ หรือโครงเหล็ก สูงอย่างน้อย 2-2.5 เมตร
- เว้นระยะ: ปลูกห่างกัน 1-2 เมตร
3. ลงมือปลูกผักหวานอย่างถูกวิธี
ผักหวานบ้าน
การปลูกผักหวานบ้านที่นิยมและให้ผลผลิตเร็วกว่าคือการปักชำกิ่ง
- ปักชำกิ่ง: เลือกกิ่งพันธุ์ที่สมบูรณ์ แข็งแรง อายุ 1 ปีขึ้นไป ตัดยาว 20-30 ซม. ทาปูนแดงที่รอยตัด ปักชำในดินที่เตรียมไว้ รดน้ำให้ชุ่ม รอจนรากงอก
ผักหวานป่า
การปลูกผักหวานป่าที่นิยมคือการเพาะเมล็ด
- เพาะเมล็ด: คัดเลือกเมล็ดพันธุ์ที่สมบูรณ์ แช่น้ำ 1 คืน ห่อด้วยผ้าเปียก ทิ้งไว้ 2-3 วัน จนเมล็ดงอก นำไปเพาะในกระถางเพาะหรือถาดเพาะ เมื่อต้นกล้าอายุ 2-3 เดือน ค่อยย้ายลงแปลง
4. การดูแลรักษา (ผักหวานบ้าน และ ผักหวานป่า)
- การให้น้ำ:
- ผักหวานบ้าน: รดน้ำให้ชุ่มในช่วงแรกของการปลูก และรดน้ำอย่างสม่ำเสมอในช่วงฤดูร้อน แต่ระวังอย่าให้น้ำขัง
- ผักหวานป่า: ต้องการความชื้นสูง แต่ไม่ชอบน้ำขัง ควรรดน้ำอย่างสม่ำเสมอ โดยเฉพาะในช่วงฤดูแล้ง
- การให้ปุ๋ย:
- ผักหวานบ้าน: ให้ปุ๋ยอย่างสม่ำเสมอ โดยใช้ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมักในช่วงแรก และใช้ปุ๋ยเคมีสูตร 15-15-15 หรือ 16-16-16 ในช่วงที่ต้นเริ่มให้ผลผลิต
- ผักหวานป่า: ให้ปุ๋ยอินทรีย์ เช่น ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมัก เพื่อบำรุงดินและต้นผักหวานป่า
- การตัดแต่งกิ่ง:
- ผักหวานบ้าน: ตัดแต่งกิ่งที่ไม่จำเป็นออก เพื่อให้ต้นมีทรงพุ่มที่เหมาะสม และแสงแดดส่องถึงทั่วถึง
- ผักหวานป่า: ตัดแต่งกิ่งที่แห้งหรือเป็นโรคออก เพื่อให้ต้นผักหวานป่าเจริญเติบโตได้ดี
- การกำจัดวัชพืช: กำจัดวัชพืชอย่างสม่ำเสมอ เพื่อไม่ให้วัชพืชแย่งอาหารและน้ำจากต้นผักหวาน
- การป้องกันโรคและแมลง: หมั่นสังเกตต้นผักหวานอย่างสม่ำเสมอ เพื่อป้องกันโรคและแมลง หมั่นฉีดพ่น
สารชีวภัณฑ์ กำจัดแมลงอยู่เป็นประจำ
5. การเก็บเกี่ยว
- ผักหวานบ้าน: จะเริ่มให้ผลผลิตหลังจากปลูกประมาณ 6-8 เดือน ควรเก็บเกี่ยวเมื่อยอดอ่อนมีขนาดพอเหมาะ ไม่แก่เกินไป
- ผักหวานป่า: จะเริ่มให้ผลผลิตหลังจากปลูกประมาณ 2-3 ปี ควรเก็บเกี่ยวเมื่อยอดอ่อนมีขนาดพอเหมาะ ไม่แก่เกินไป
เปรียบเทียบ ประโยชน์ของผักหวาน ทั้ง 2ชนิด ต่อร่างกาย
คุณค่าทางโภชนาการ
(ปริมาณสารอาหารต่อ 100 กรัม)
สารอาหาร | ผักหวานป่า | ผักหวานบ้าน |
---|---|---|
พลังงาน | 42 กิโลแคลอรี | 39 กิโลแคลอรี |
โปรตีน | 5.1 กรัม | 4.2 กรัม |
คาร์โบไฮเดรต | 5.7 กรัม | 6.1 กรัม |
ไขมัน | 0.4 กรัม | 0.3 กรัม |
ใยอาหาร | 2.1 กรัม | 1.8 กรัม |
วิตามินซี | สูงมาก | สูงปานกลาง |
แคลเซียม | สูง (113 มก.) | ปานกลาง (90 มก.) |
ฟอสฟอรัส | 67 มก. | 56 มก. |
ธาตุเหล็ก | 3.2 มก. | 2.8 มก. |
👉 สรุป: ผักหวานป่ามีโปรตีนและแร่ธาตุบางชนิดสูงกว่าผักหวานบ้านเล็กน้อย
สรรพคุณทางยาและประโยชน์ต่อสุขภาพ
คุณสมบัติ | ผักหวานป่า | ผักหวานบ้าน |
---|---|---|
ช่วยต้านอนุมูลอิสระ | ✅ สูง (มีฟลาโวนอยด์และวิตามินซีสูง) | ✅ มีสารต้านอนุมูลอิสระแต่ปริมาณน้อยกว่า |
บำรุงกระดูกและฟัน | ✅ แคลเซียมสูง ป้องกันโรคกระดูกพรุน | ✅ มีแคลเซียม แต่ไม่สูงเท่าผักหวานป่า |
ช่วยระบบขับถ่าย | ✅ ไฟเบอร์สูง กระตุ้นลำไส้ | ✅ ไฟเบอร์สูง ช่วยแก้อาการท้องผูก |
บำรุงสายตา | ✅ มีวิตามินเอสูง | ✅ มีวิตามินเอเช่นกัน |
ลดความดันโลหิต | ✅ มีสารช่วยขยายหลอดเลือด | ✅ มีฤทธิ์ลดความดันโลหิต แต่ไม่แรงเท่าผักหวานป่า |
แก้ร้อนใน ขับพิษ | ✅ ใช้ในตำรับยาไทยช่วยลดร้อนใน | ✅ มีฤทธิ์เย็นช่วยลดไข้ แต่ไม่เด่นเท่าผักหวานป่า |
บำรุงน้ำนมแม่ | ✅ นิยมใช้ในหญิงให้นมบุตร | ✅ ช่วยกระตุ้นน้ำนมแม่เช่นกัน |
👉 สรุป:
- ผักหวานป่ามี สารต้านอนุมูลอิสระสูงกว่า และ แร่ธาตุสำคัญมากกว่า จึงมีสรรพคุณทางยาที่เด่นกว่า
- ผักหวานบ้าน อ่อนนุ่มกว่า รับประทานง่ายกว่า และยังให้ประโยชน์ทางโภชนาการที่ดี
การปลูกผักหวาน ไม่ว่าจะเป็นผักหวานบ้านหรือผักหวานป่า นอกจากจะได้ผักสดๆ ไว้รับประทานเองในครอบครัวแล้ว ยังเป็นการสร้างเสริมสุขภาพที่ดีอีกด้วย ผักหวานอุดมไปด้วยวิตามิน แร่ธาตุ และใยอาหาร ซึ่งมีประโยชน์ต่อร่างกายหลายประการ ทั้งช่วยต้านอนุมูลอิสระ บำรุงสายตา ช่วยระบบขับถ่าย เสริมสร้างภูมิคุ้มกัน และบำรุงผิวพรรณ การปลูกผักหวานจึงเป็นการลงทุนเพื่อสุขภาพที่ดีของทุกคนในครอบครัวอย่างแท้จริง
อ่านบทความดีๆกันแล้ว
แล้วอย่าลืม แอดไลน์ มาเป็นเพื่อนกัน เพื่อให้ท่านไม่พลาดข่าวสารและโปรโมชั่นดีๆจากทางร้าน