Last Updated on กุมภาพันธ์ 19, 2025 by admin
หน่อไม้ฝรั่ง หรือ Asparagus เป็นผักที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูงและใช้ปรุงอาหารได้หลากหลาย นอกจากความอร่อยแล้ว หน่อไม้ฝรั่งยังมีคุณสมบัติช่วยส่งเสริมสุขภาพ รักษาโรคต่าง ๆ และมีความนิยมในตลาดทั้งในประเทศและส่งออก การปลูกหน่อไม้ฝรั่งไม่จำเป็นต้องทำทุกปี เมื่อปลูกครั้งแรกแล้วสามารถเก็บเกี่ยวได้หลายปี หากมีการดูแลรักษาที่เหมาะสม
วิธีการปลูกหน่อไม้ฝรั่ง
ขั้นตอนที่ 1: การเลือกพันธุ์หน่อไม้ฝรั่ง
การเลือกพันธุ์หน่อไม้ฝรั่งที่เหมาะสมเป็นขั้นตอนแรกที่สำคัญต่อความสำเร็จในการปลูก โดยทั่วไป หน่อไม้ฝรั่งสามารถแบ่งออกได้เป็น 3 ประเภทหลักๆ ได้แก่
- หน่อไม้ฝรั่งสีเขียว (Green Asparagus): เป็นพันธุ์ที่ได้รับความนิยมมากที่สุด มีรสชาติเข้มข้นและมีกลิ่นหอมเฉพาะตัว เหมาะสำหรับนำไปประกอบอาหารได้หลากหลายเมนู
- หน่อไม้ฝรั่งสีม่วง (Purple Asparagus): มีสีสันสวยงามสะดุดตา รสชาติหวานกว่าหน่อไม้ฝรั่งสีเขียว และมีสารแอนโทไซยานิน (Anthocyanin) ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระสูง
- หน่อไม้ฝรั่งสีขาว (White Asparagus): มีรสชาติอ่อนละมุนและเนื้อสัมผัสที่นุ่มนวลกว่าหน่อไม้ฝรั่งสีเขียว ได้จากการปลูกแบบไม่ให้โดนแสงแดด (Blanching)
สำหรับผู้เริ่มต้นปลูก ขอแนะนำให้เลือกพันธุ์หน่อไม้ฝรั่งสีเขียว เนื่องจากเป็นพันธุ์ที่ปลูกง่าย ดูแลง่าย และให้ผลผลิตดี พันธุ์ที่ได้รับความนิยม เช่น พันธุ์แมรี่ วอชิงตัน (Mary Washington) และ พันธุ์เจอซี่ไนท์ (Jersey Knight)
ขั้นตอนที่ 2: เตรียมพื้นที่ปลูก: ดินดี กระถางพร้อม แสงแดดต้องถึง
- สำหรับปลูกลงดิน:
- แสงแดด: เลือกพื้นที่ปลูกที่ได้รับแสงแดดจัด อย่างน้อย 6-8 ชั่วโมงต่อวัน
- ดิน: หน่อไม้ฝรั่งชอบดินร่วนปนทราย ระบายน้ำดี หากดินเหนียว ให้ปรับปรุงดินโดยเติมอินทรียวัตถุ เช่น ปุ๋ยหมัก ปุ๋ยคอก แกลบดิบ
- การเตรียมดิน: ไถพรวนดินลึก 20-30 ซม. และกำจัดวัชพืชในบริเวณที่จะปลูก
- ปลูกหน่อไม้ฝรั่งในกระถาง
- กระถาง: เลือกกระถางขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 30-45 ซม. ลึก 30 ซม. มีรูระบายน้ำ วัสดุเป็นดินเผา หรือพลาสติกก็ได้
- ดินปลูก: ใช้ดินร่วน 2 ส่วน : วัสดุปลูก (ปุ๋ยหมัก, ปุ๋ยคอก, แกลบดิบ, ขุยมะพร้าว, เพอร์ไลท์) 1 ส่วน รองก้นกระถางด้วยวัสดุระบายน้ำ
- สถานที่: วางกระถางในที่แดดจัด 6-8 ชั่วโมงต่อวัน เช่น ระเบียง ดาดฟ้า
ข้อควรจำ (ทั้งปลูกลงดิน และในกระถาง): หน่อไม้ฝรั่งชอบแสงแดดจัด และดินระบายน้ำดี
ขั้นตอนที่ 3: การปลูกหน่อไม้ฝรั่ง
หน่อไม้ฝรั่งสามารถปลูกได้ 2 วิธีหลักๆ คือ การเพาะเมล็ดและการปลูกด้วยหน่อ (Crowns) การปลูกด้วยหน่อเป็นวิธีที่นิยมมากกว่า เนื่องจากให้ผลผลิตเร็วกว่าการเพาะเมล็ด โดยทั่วไปจะเริ่มเก็บเกี่ยวผลผลิตได้ในปีที่ 2 หลังการปลูก ในขณะที่การเพาะเมล็ดอาจต้องใช้เวลา 3-4 ปี
- การปลูกด้วยหน่อ (Crowns):
- ขุดหลุมปลูกให้มีความกว้างประมาณ 30-45 เซนติเมตร และลึกประมาณ 15-20 เซนติเมตร โดยเว้นระยะห่างระหว่างหลุมประมาณ 30-45 เซนติเมตร และระยะห่างระหว่างแถวประมาณ 1-1.5 เมตร
- ใส่ปุ๋ยหมักหรือปุ๋ยคอกรองก้นหลุมเล็กน้อย
- วางหน่อหน่อไม้ฝรั่งลงในหลุม โดยให้ส่วนยอดของหน่อชี้ขึ้นด้านบน และแผ่รากออกรอบๆ
- กลบดินลงไปในหลุม โดยให้ส่วนยอดของหน่ออยู่ใต้ดินประมาณ 5-10 เซนติเมตร
- รดน้ำให้ชุ่ม
- การเพาะเมล็ด: (วิธีนี้ไม่แนะนำสำหรับผู้เริ่มต้น)
- แช่เมล็ดหน่อไม้ฝรั่งในน้ำอุ่นประมาณ 24-48 ชั่วโมง ก่อนนำไปเพาะ
- เพาะเมล็ดในกระถางเพาะ หรือถาดเพาะ โดยใช้ดินเพาะกล้า
- เมื่อต้นกล้ามีอายุประมาณ 8-10 สัปดาห์ หรือมีใบจริง 2-3 ใบ จึงย้ายลงแปลงปลูก
ขั้นตอนที่ 4: ดูแลเอาใจใส่: น้ำ ปุ๋ย พรวนดิน กำจัดวัชพืช
การดูแลรักษาหน่อไม้ฝรั่งคล้ายกัน ทั้งปลูกลงดิน และในกระถาง แต่การปลูกในกระถางอาจต้องใส่ใจเรื่องน้ำ และปุ๋ยมากกว่า
- การให้น้ำ:
- ทั้งลงดิน และในกระถาง: รดน้ำสม่ำเสมอ ดินชุ่มชื้น แต่อย่าให้น้ำขัง รดน้ำช่วงเช้า หรือเย็น
- ในกระถาง: ดินแห้งเร็วกว่า อาจต้องรดน้ำบ่อยขึ้น สังเกตผิวดิน หากแห้งรดน้ำทันที
- การให้ปุ๋ย:
- ทั้งลงดิน และในกระถาง: ใส่ปุ๋ยอินทรีย์ (ปุ๋ยหมัก, ปุ๋ยคอก, ปุ๋ยชีวภาพ) เป็นประจำ ทุก 2-3 เดือน
- ในกระถาง: ธาตุอาหารจำกัด และถูกชะล้างง่าย อาจต้องใส่ปุ๋ยบ่อยขึ้น ทุก 2-3 สัปดาห์ หรือใช้ปุ๋ยเคมีสูตรเสมอ สลับปุ๋ยน้ำ
- การพรวนดิน (ในกระถาง): พรวนดิน ทุก 2-3 สัปดาห์ ดินร่วน อากาศถ่ายเท
- การกำจัดวัชพืช: รักษาแปลง/กระถาง ให้สะอาด ปราศจากวัชพืช
- การค้ำยัน: เมื่อต้นสูงขึ้น ทำค้าง หรือใช้ไม้ค้ำ ป้องกันต้นล้ม (สำคัญเป็นพิเศษหากปลูกในกระถางที่อาจไม่มั่นคงเท่าลงดิน)
ขั้นตอนที่ 5 : การเก็บเกี่ยว
5.1 เก็บเกี่ยวหน่อไม้ฝรั่ง
- หน่อไม้ฝรั่งจะเริ่มโผล่พ้นดินประมาณ 20–25 เซนติเมตร เมื่อถึงเวลาที่เหมาะสม (ปกติประมาณ 4–5 เดือนหลังปลูก) สามารถเริ่มเก็บเกี่ยวได้
- เก็บเกี่ยวโดยใช้มีดคมหรือมือดึงต้นหน่อออกมาอย่างระมัดระวัง เพื่อไม่ให้เกิดความเสียหายต่อระบบราก
- ควรเก็บเกี่ยวเฉพาะหน่อที่มีขนาดและความยาวเหมาะสม โดยเก็บเฉพาะหน่อที่เติบโตในช่วงเวลาที่เหมาะสม เพื่อรักษาความสมบูรณ์ของต้นแม่
5.2 การพักต้น
- เมื่อต้นเริ่มโทรมหรือผลผลิตลดลง ควรพักต้น (ยกเลิกการเก็บเกี่ยวชั่วคราว) เพื่อให้ต้นได้ฟื้นตัว จากนั้นจึงกลับมาคัดเกรดและเก็บเกี่ยวต่อไป
ปลูกหน่อไม้ฝรั่ง 1 ไร่ กี่ต้น ?
จำนวนต้นหน่อไม้ฝรั่งที่นิยมปลูกต่อ 1 ไร่ ในประเทศไทย จะอยู่ในช่วงประมาณ 3,000 – 4,000 ต้นต่อไร่ ซึ่งได้จากการใช้ระยะปลูกประมาณ 40 เซนติเมตร x 1.0 – 1.2 เมตร

ปลูกหน่อไม้ฝรั่งขาย รายได้ประมาณเท่าไหร่ ?
โดยทั่วไป ราคาหน่อไม้ฝรั่งในตลาดไทยมีความแปรผันตามคุณภาพและฤดูกาล
- ราคาขายต่อกิโลกรัม
- สำหรับหน่อไม้ฝรั่งเกรดดี (เช่น เกรดเอ) ราคาจะอยู่ที่ประมาณ 60–65 บาทต่อกิโลกรัม
- สำหรับหน่อไม้ฝรั่งเกรดรอง (เช่น เกรดบี หรือซี) ราคาจะอยู่ที่ประมาณ 25–30 บาทต่อกิโลกรัม
- ในช่วงที่มีอุปทานน้อยหรือในฤดูหนาว หน่อไม้ฝรั่งเกรดดีอาจขึ้นถึง 120 บาทต่อกิโลกรัมได้
หน่อไม้ฝรั่ง…เคยเป็นยามาก่อน
ในสมัยโบราณ หน่อไม้ฝรั่งไม่ได้ถูกมองว่าเป็นแค่อาหาร แต่ถูกใช้เป็น “ยา” ในหลายวัฒนธรรม ชาวอียิปต์โบราณ กรีก และโรมัน ใช้หน่อไม้ฝรั่งเพื่อรักษาอาการต่างๆ เช่น อาการปวดฟัน และปัญหาเกี่ยวกับตับ นอกจากนี้ ในตำรายาอายุรเวทของอินเดีย ก็มีการกล่าวถึงการใช้หน่อไม้ฝรั่งเพื่อบำรุงร่างกายและรักษาโรคบางชนิดด้วย
ประโยชน์ของหน่อไม้ฝรั่ง
- อุดมไปด้วยสารอาหารหลากหลายชนิด: หน่อไม้ฝรั่งเป็นแหล่งของวิตามินและแร่ธาตุที่สำคัญต่อร่างกายหลายชนิด เช่น
- วิตามินเค (Vitamin K): มีบทบาทสำคัญในการแข็งตัวของเลือด และสุขภาพกระดูก
- โฟเลต (Folate หรือ วิตามินบี 9): จำเป็นต่อการสร้างเซลล์ใหม่ และสำคัญอย่างยิ่งสำหรับสตรีมีครรภ์ในการป้องกันความผิดปกติของท่อประสาทของทารก
- วิตามินซี (Vitamin C): เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน และจำเป็นต่อการสร้างคอลลาเจน
- วิตามินเอ (Vitamin A): สำคัญต่อการมองเห็น สุขภาพผิว และระบบภูมิคุ้มกัน
- วิตามินอี (Vitamin E): เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยปกป้องเซลล์จากความเสียหาย
- โพแทสเซียม (Potassium): ช่วยควบคุมสมดุลของเหลวในร่างกาย และความดันโลหิต
- ใยอาหาร (Dietary Fiber): ช่วยระบบขับถ่าย ลดความเสี่ยงท้องผูก และช่วยควบคุมระดับน้ำตาลและคอเลสเตอรอลในเลือด
- มีสารต้านอนุมูลอิสระสูง: หน่อไม้ฝรั่งมีสารต้านอนุมูลอิสระหลายชนิด เช่น
- กลูตาไธโอน (Glutathione): เป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่สำคัญในร่างกาย ช่วยปกป้องเซลล์จากความเสียหาย และอาจมีบทบาทในการล้างพิษ
- ฟลาโวนอยด์ (Flavonoids) และ โพลีฟีนอล (Polyphenols): เป็นกลุ่มสารต้านอนุมูลอิสระที่พบมากในผักและผลไม้ ซึ่งมีฤทธิ์ต้านการอักเสบ และอาจช่วยลดความเสี่ยงของโรคเรื้อรัง
- แอนโทไซยานิน (Anthocyanins): พบมากในหน่อไม้ฝรั่งสีม่วง เป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ให้สีม่วง และอาจมีประโยชน์ต่อสุขภาพหัวใจและหลอดเลือด
- ช่วยบำรุงสมองและระบบประสาท:
- โฟเลต: มีความสำคัญต่อการทำงานของสมองและระบบประสาท การขาดโฟเลตอาจสัมพันธ์กับความเสี่ยงของภาวะซึมเศร้า และความจำเสื่อม
- สารต้านอนุมูลอิสระ: อาจช่วยปกป้องเซลล์สมองจากความเสียหายจากอนุมูลอิสระ ซึ่งเป็นปัจจัยหนึ่งที่เกี่ยวข้องกับโรคความเสื่อมของระบบประสาท
- ช่วยส่งเสริมสุขภาพทางเดินอาหาร:
- ใยอาหาร: ช่วยเพิ่มปริมาณกากอาหารในลำไส้ ส่งเสริมการเคลื่อนไหวของลำไส้ และช่วยป้องกันอาการท้องผูก
- อินนูลิน (Inulin): เป็นใยอาหารชนิดหนึ่งที่พบในหน่อไม้ฝรั่ง ทำหน้าที่เป็นพรีไบโอติก (Prebiotic) ซึ่งเป็นอาหารของจุลินทรีย์ชนิดดีในลำไส้ ช่วยส่งเสริมสมดุลของจุลินทรีย์ในลำไส้ ซึ่งมีความสำคัญต่อสุขภาพทางเดินอาหาร และระบบภูมิคุ้มกัน
- มีฤทธิ์ขับปัสสาวะตามธรรมชาติ:
- หน่อไม้ฝรั่งมีกรดอะมิโนชนิดหนึ่งชื่อว่า แอสพาราจีน (Asparagine) ซึ่งมีฤทธิ์ขับปัสสาวะอ่อนๆ ช่วยกระตุ้นการขับถ่ายของเหลวส่วนเกินออกจากร่างกาย ซึ่งอาจเป็นประโยชน์สำหรับผู้ที่มีอาการบวมน้ำ หรือความดันโลหิตสูง
- โพแทสเซียม: ก็มีส่วนช่วยในการขับปัสสาวะ และรักษาสมดุลของเหลวในร่างกาย
- แคลอรี่ต่ำ: หน่อไม้ฝรั่งเป็นผักที่มีแคลอรี่ต่ำมาก เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการควบคุมน้ำหนัก หรือผู้ที่ใส่ใจสุขภาพ
อ่านบทความดีๆกันแล้ว
แล้วอย่าลืม แอดไลน์ มาเป็นเพื่อนกัน เพื่อให้ท่านไม่พลาดข่าวสารและโปรโมชั่นดีๆจากทางร้าน