ธันวาคม 5, 2025

Blog

ผักปลาบ รู้จักวัชพืชตัวร้ายในนา การแพร่ระบาด และวิธีจัดการ

คลังบทความ
ฝากกดแชร์เป็นกำลังใจให้ด้วยนะคะ

Last Updated on พฤศจิกายน 10, 2025 by admin

สรุปย่อ: รู้จัก ผักปลาบใน 1 นาที

  • ตัวเอกของเรา: ผักปลาบที่เป็นวัชพืชในนา มักหมายถึงกลุ่ม ผักปลาบใบแคบ หรือ ผักปราบนา อยู่ในวงศ์ผักปลาบ (Commelinaceae)
  • นิสัย: เป็น วัชพืชล้มลุกทอดเลื้อย ชอบที่ชื้น ๆ ทนแฉะได้ดี เช่น นาข้าว ร่องผัก ร่องสวน และริมทางน้ำ
  • ขยายพันธุ์เก่งมาก: ขยายทั้ง เมล็ด และ ลำต้นที่หัก/ข้อแตะดินแล้วออกราก พืช 1 ต้นสามารถให้เมล็ดได้มาก และกิ่งที่ตัดทิ้งก็สามารถงอกใหม่ได้ง่าย
  • สถานะวัชพืช: ถูกจัดเป็นวัชพืชสำคัญในพืชไร่/สวนหลายชนิด และเป็นวัชพืชประจำในนาข้าวเขตร้อน เพราะทนเปียกชื้นและน้ำท่วมระยะสั้นได้ดี
  • ผลกระทบ: ถ้าปล่อยให้แข่งกับพืชเศรษฐกิจตลอดฤดู พบว่าทำให้ผลผลิตลดลงได้อย่างมีนัยสำคัญ เช่น ในข้าว/ถั่วบางการทดลองรายงานการลดลงของผลผลิตเมล็ดเมื่อมีการแข่งกันตลอดฤดู

ชื่อเรียกและอนุกรมวิธาน

ชื่อวิทยาศาสตร์หลัก (ที่มักเกี่ยวข้องในฐานะวัชพืช):

  • Commelina diffusa Burm.f.

ชื่อสามัญต่างประเทศ (แล้วแต่ประเทศ):

  • Spreading dayflower
  • Climbing dayflower
  • Wandering Jew
  • Watergrass ฯลฯ

ชื่อเรียกในไทย (หลากหลายมาก):

  • ผักปลาบ (ภาคกลาง)
  • ผักปลาบใบแคบ, ผักปราบนา
  • ผักปลายขอบใบเรียว (เชียงใหม่)
  • หญ้ากาบผี, กินกุ้งน้อย ฯลฯ

ส่วนใหญ่ชื่อท้องถิ่นเหล่านี้ในไทยจะอ้างถึงกลุ่ม Commelina diffusa เป็นหลัก ซึ่งถือเป็น “ตัวหลัก” ที่เราพูดถึงในฐานะวัชพืชในการเพาะปลูก

ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ของ ผักปลาบ

อิงจากฐานข้อมูลพรรณพืชไทยและเอกสารด้านพฤกษศาสตร์/วัชพืช

ลำต้น

  • เป็น พืชล้มลุกทอดเลื้อย สูงไม่มาก แต่ลำต้นสามารถทอดยาว 40–100 ซม.
  • ลำต้นกลม สีเขียว มักแตกกิ่งก้านมาก
  • มีรากออกตามข้อ (nodes) เมื่อข้อแตะดิน ทำให้แตกกอหนาแน่นและฟื้นตัวเก่งมาก

ใบ

  • ใบเดี่ยว เรียงเวียนหรือเรียงเกือบเป็นสองแถว
  • รูปหอกแคบถึงรูปขอบขนาน กว้างประมาณ 1–2 ซม. ยาว 4–7.5 ซม. (แล้วแต่แหล่ง)
  • โคนก้านใบแผ่เป็น “กาบหุ้มลำต้น” ขอบกาบด้านบนมักมีขน
  • ใบมักเกือบไม่มีคอใบ (subsessesile) ทำให้ดูเหมือนใบออกจากลำต้นเลย

ดอก

  • ดอกสีฟ้าหรือน้ำเงินฟ้า ออกเป็นช่อจากซอกใบ
  • มีใบประดับรูปเรือโอบช่อดอก
  • ดอกย่อยเล็ก เส้นผ่านศูนย์กลางราว 1 ซม.
  • กลีบเลี้ยง 3 กลีบ กลีบดอก 3 กลีบ โดยกลีบบนสองกลีบมักใหญ่กว่ากลีบล่าง ให้สีเด่น
  • เกสรเพศผู้ 6 อัน แต่มี 3 อันที่เป็นหมัน (ไม่สร้างละอองเกสร) ซึ่งเป็นลักษณะจำแนกกลุ่มนี้

รากและเมล็ด

  • รากเส้นใย (fibrous root) แตกจากข้อและโคนต้น
  • เมล็ดอยู่ในผลแห้งแบบแคปซูลเล็ก ๆ แบ่งเป็น 3 ห้อง
  • มีรายงานว่า พืช 1 ต้นสามารถ ให้เมล็ดได้หลายร้อยถึงพันกว่าเมล็ด และเมล็ดสามารถสะสมในดินเป็น “เมล็ดพัก” ได้นานพอสมควร

การแพร่กระจายและนิเวศวิทยาของ ผักปลาบ

การกระจายตัวในโลก

โดยภาพรวม Commelina diffusa เป็นวัชพืชแบบ pantropical คือพบได้แทบทุกเขตร้อนของโลก และแผ่ขึ้นไปถึงเขตกึ่งร้อน/กึ่งหนาวบางส่วน

พบทั่วไปใน:

  • ทวีปเอเชียเขตร้อน (รวมถึงเอเชียตะวันออกเฉียงใต้)
  • อเมริกาเขตร้อนและกึ่งร้อน
  • แอฟริกาเขตร้อน
  • หมู่เกาะแปซิฟิก และบางส่วนในออสเตรเลีย

แหล่งอาศัย

  • พื้นที่เพาะปลูก เช่น นาข้าว พืชไร่ พืชสวน
  • ร่องสวน ริมคูคลอง ริมทางน้ำ
  • ริมถนน ที่รกร้าง ชายคันนา ทุ่งหญ้าชื้น
  • ชอบที่ ชื้น แฉะ อับน้ำ แต่ก็พบได้ในที่เปิดโล่งที่ดินดีและชุ่มน้ำ

ในเขตร้อน เปรียบได้ว่า “ตรงไหนมีน้ำ ตรงนั้นมีโอกาสเจอผักปลาบ”

รูปแบบชีวิต

  • ในเขตอบอุ่นมักอยู่ในรูป พืชฤดูเดียว (annual)
  • ในเขตร้อน–กึ่งร้อน สามารถอยู่ในรูป กึ่งหลายปี (short-lived perennial) คือถ้าไม่มีอะไรรบกวน ก็แตกกออยู่ได้นานและสร้างเมล็ดใหม่ต่อเนื่อง

วิธีขยายพันธุ์

  1. เมล็ด
    • สร้างเมล็ดจำนวนมากต่อปี เป็นแหล่งสะสมในดิน
  2. ลำต้นที่แตกเป็นท่อน
    • กิ่งหรือท่อนลำต้นที่มีข้อ เมื่อหล่นหรือถูกไถ/ถากแล้วทิ้งบนดิน สามารถแตกยอดและออกรากจากข้อใหม่ได้ง่าย

แปลว่าถ้าถอน/ถางแล้ว “ทิ้งกลาด” โดยไม่เก็บออกจากแปลง เราแทบจะช่วยมันขยายพันธุ์เองเลย

ผลกระทบต่อการเพาะปลูกของ ผักปลาบ

แข่งแย่งทรัพยากร

เหมือนวัชพืชส่วนใหญ่ ผักปลาบจะแย่ง:

  • แสง – โดยเฉพาะเมื่อทอดเลื้อยปกคลุมผิวดินและโคนต้นพืชหลัก
  • น้ำ – ดินชื้นที่เหมาะกับพืชเศรษฐกิจก็มักเหมาะกับผักปลาบเช่นกัน
  • ธาตุอาหาร – ระบบรากเส้นใยกระจายทั่วผิวดิน ทำให้แข่งดูดปุ๋ยที่ใส่ให้พืชหลักไปโดยตรง

ผลต่อผลผลิต

งานวิจัยด้านการแข่งขันในระบบเกษตรต่าง ๆ ให้ภาพใกล้เคียงกันคือ:

  • ในข้าวนาสวนน้ำลึก ถ้าปล่อยให้ผักปลาบแข่งขันกับข้าวตลอดฤดู ที่ความหนาแน่นระดับหลายสิบต้นต่อตารางเมตร สามารถทำให้ผลผลิตข้าวลดลงประมาณเกือบ ๆ 20% เมื่อเทียบกับแปลงไม่มีวัชพืช
  • ในถั่วกินเมล็ด การปล่อยให้ผักปลาบแข่งขันทั้งฤดู สามารถกระทบทั้งลักษณะต้น น้ำหนักเมล็ด และองค์ประกอบธาตุอาหารในเมล็ด
  • ในสวนกล้วย พื้นที่ที่ใช้แต่ “การจัดการเชิงกล (ถาก/ไถ)” อย่างเดียว พบว่าประชากรผักปลาบมักสูงกว่าพื้นที่ที่มีการใช้สารกำจัดวัชพืชร่วมด้วย เพราะท่อนลำต้นที่แตกหักกลับกลายเป็นกล้าชุดใหม่

โดยรวมจึงถือว่าเป็นวัชพืชที่:

  • ทนการจัดการแบบถาก–ไถธรรมดา
  • อยู่รอดได้ดีกว่าในระบบที่ “ดินดี น้ำดี แต่จัดการวัชพืชไม่จริงจัง”

การป้องกันการระบาด

ความสะอาดของแปลงและเครื่องมือ

  • ลดการขนเมล็ด/ท่อนลำต้นไปยังแปลงใหม่ ด้วยการทำความสะอาดเครื่องมือไถ–พรวน รถไถ รถเกี่ยว
  • ระวังเศษดินจากแปลงที่มีผักปลาบระบาดไม่ให้หล่นในแปลงใหม่

การจัดการน้ำ (โดยเฉพาะในนา)

  • ผักปลาบทนเปียกได้ แต่ก็ไม่ชอบน้ำท่วม “ลึกต่อเนื่อง” นานเกินไปในบางระยะ
  • การจัดระดับน้ำให้เหมาะกับข้าว แต่ไม่เอื้อวัชพืช (เช่น รักษาน้ำท่วมแปลงให้เพียงพอหลังข้าวตั้งตัว) สามารถช่วยกดวัชพืชใบกว้างได้ระดับหนึ่ง

การปลูกพืชคลุมดิน/เพิ่มความหนาแน่นพืชปลูก

การกำจัดและจัดการผักปลาบ

หลัก ๆ มี 3 กลุ่ม: วิธีกล, วัฒนธรรม (cultural), และสารเคมี
การทำ “อย่างใดอย่างหนึ่ง” มักไม่พอ ต้องใช้แบบผสมผสาน (Integrated Weed Management)

วิธีเชิงกลและทางกายภาพ

  1. ถอนมือ/จอบถาก
    • ทำได้ในพื้นที่เล็กหรือในผักสวนครัว
    • ต้อง “ถอนทั้งรากและเก็บท่อนลำต้นออกจากแปลง” ไม่ทิ้งไว้บนดิน เพราะท่อนที่เหลือสามารถออกรากใหม่ได้
  2. ไถกลบ/พรวนดิน
    • ให้ผลเพียงชั่วคราว ถ้าท่อนลำต้นยังมีชีวิตและถูกฝังในดิน มันสามารถแตกยอดใหม่
    • เหมาะใช้ร่วมกับช่วงดินแห้งตามหลัง และมีพืชหลักคลุมดินเร็ว
  3. ตัด/ตัดหญ้าเตี้ย
    • ช่วยลดการสร้างเมล็ด แต่ไม่ค่อยฆ่าต้น เพราะโคนต้นยังอยู่

ข้อเสียของวิธีเชิงกลกับผักปลาบ:

  • พืชชนิดนี้ “เก่งเรื่องแตกจากท่อนลำต้น” ดังนั้น ถ้าจัดการไม่เก็บเศษออก ก็เหมือนช่วยขยายพันธุ์ให้มัน

วิธีวัฒนธรรม (Cultural Control)

  • ปลูกหมุนเวียน
    • การปลูกพืชหมุนเวียนที่มีการจัดการวัชพืชแตกต่างกัน (เช่น พืชที่ใช้ยาคนละ mode of action หรือพืชที่ปิดดินเร็ว) จะช่วยลดประชากรผักปลาบในระยะยาว
  • คลุมดิน (mulch)
    • ฟางข้าวหรือพลาสติกคลุมดินช่วยลดความเข้มแสงถึงผิวดิน ลดการงอกของเมล็ดวัชพืช
  • รักษาช่วงแปลงสะอาดในระยะวิกฤติของพืชหลัก
    • เช่น ข้าว/ถั่วในช่วง 20–40 วันแรกหลังงอกเป็นช่วงที่วัชพืชกระทบผลผลิตมากที่สุด ควรพยายามให้ช่วงนี้ “สะอาดจากผักปลาบ” มากที่สุด

การใช้สารเคมี: หลักการ + สารออกฤทธิ์ที่เกี่ยวข้อง (เชิงแนวคิด)

ตรงนี้เป็นข้อมูลเชิงวิชาการ–ภาพรวม ไม่ใช่คำแนะนำแทนฉลาก
เกษตรกรต้องเลือกใช้สารตามที่ทะเบียนรับรองของประเทศ และปฏิบัติตามฉลาก/กฎหมายอย่างเคร่งครัด
ใส่อุปกรณ์ป้องกัน (PPE) และจัดการน้ำ–สภาพแวดล้อมให้ปลอดภัย

ประเด็นสำคัญ: ผักปลาบ “ไม่ใช่วัชพืชธรรมดา”

มีรายงานว่ากลุ่ม Commelina spp. โดยเฉพาะ C. diffusa มีแนวโน้มทนหรือกำจัดได้ยากด้วยสารบางกลุ่ม เช่น

  • บางกรณีให้ผลตอบสนองต่อสารดูดซึม (เช่น ไกลโฟเซต เดี่ยว ๆ) ไม่ดีเท่าหญ้าชนิดอื่น ใบอาจไหม้แต่โคน/ท่อนลำต้นกลับแตกใหม่

ดังนั้น หลักคิดคือ:

  • อย่า “ฝากชีวิต” ไว้กับสารตัวเดียว
  • ใช้การผสมผสาน mode of action ต่างกัน + วิธีเชิงกล/วัฒนธรรมร่วมกัน

ข้อมูลจากแปลงพืชไร่

  1. การใช้สารผสม (tank mix / sequential application)
    การทดลองกับวัชพืชสกุล Commelina พบว่า:
    • การพ่นแบบขั้นตอน เช่น การใช้สารกำจัดวัชพืชชนิดสัมผัสผสมกับชนิดคุมใบกว้าง แล้วตามด้วยสารดูดซึมอีกครั้ง ให้ผลควบคุม Commelina ได้ดี
    • การผสมสารดูดซึมกับสารกำจัดวัชพืชกลุ่มฮอร์โมนเลียนแบบและสารออกฤทธิ์สัมผัส ให้การควบคุม Commelina สูงในหลายชุดทดลอง
    แนวคิดคือ:
    • สารดูดซึม = ดูดซึม–ออกฤทธิ์ช้า
    • สารฮอร์โมนเลียนแบบ = เน้นทำลายพืชใบกว้าง
    • สารสัมผัส = กำจัดใบอ่อนเร็ว
      การใช้ร่วมกันช่วย “เก็บงาน” ทั้งส่วนเหนือดินและลำต้น
  2. สารคุม (pre-emergence) บางกลุ่ม
    สำหรับ Commelina บางชนิด (เช่น C. benghalensis) สารคุมดินกลุ่มหนึ่ง เช่น chloroacetamide (ตัวอย่างเช่น s-metolachlor ในงานวิจัย) ให้การควบคุมวัชพืชได้ดี หากใช้ถูกช่วงและอัตรา
    แม้งานจะเน้น C. benghalensis แต่แนวโน้มบอกว่า “สารคุมบางกลุ่ม” สามารถลดการงอกของ Commelina spp. ได้ดีหากใช้ถูกเวลาและอัตรา

FAQ – คำถามที่เจอบ่อยเรื่องผักปลาบ

ถาม: ทำไมถอนผักปลาบแล้วมันขึ้นใหม่เร็วมาก?
ตอบ: เพราะมันขยายพันธุ์ได้ทั้งจากเมล็ดและ “ท่อนลำต้นที่มีข้อ” ถ้าถอนแล้วทิ้งท่อนลำต้นไว้บนดิน หรือไถ/ถากจนกิ่งแตก แล้วไม่เก็บออก ท่อนเหล่านั้นสามารถออกรากใหม่จากข้อได้ จึงดูเหมือน “ถอนไปแล้วก็ยังขึ้น”


ถาม: ผักปลาบกระทบผลผลิตข้าวแค่ไหน?
ตอบ: ถ้าปล่อยให้ผักปลาบแข่งกับข้าวตลอดฤดู ที่ความหนาแน่นระดับสูง ผลผลิตสามารถลดลงในระดับหลักสิบเปอร์เซ็นต์เมื่อเทียบกับแปลงที่ควบคุมวัชพืชอย่างดี จึงควรควบคุมไม่ให้แข่งทั้งฤดู


ถาม: ใช้ยาฆ่าหญ้าตัวเดียวพ่นผักปลาบได้ไหม?
ตอบ: ส่วนใหญ่ “ไม่ค่อยจบ” ด้วยสารตัวเดียว เพราะผักปลาบมีแนวโน้มทนต่อสารบางกลุ่ม และยังแตกจากท่อนลำต้นเก่ง มักต้องใช้ร่วมกับสารอีกกลุ่มหนึ่ง หรือใช้หลายวิธีร่วมกัน เช่น ถาก–ถอน คลุมดิน และการจัดการน้ำ


ถาม: ในระบบนาข้าว มีสารตัวไหนพอช่วยเรื่องผักปลาบได้บ้าง (เชิงหลักการ)?
ตอบ: ในงานวิจัยต่างประเทศ สารบางกลุ่ม เช่น bispyribac-sodium ถูกใช้เพื่อลดประชากรผักปลาบและวัชพืชใบกว้างอื่น ๆ ในข้าว แต่ในทางปฏิบัติในไทย ต้องอ้างอิงทะเบียนสารและฉลากในประเทศเป็นหลักว่าตัวไหน “ขึ้นทะเบียนควบคุมผักปลาบ” และใช้กับข้าวได้ปลอดภัย


ถาม: จะรู้ได้ไงว่าในแปลงเราควรเน้น “ถาก–ถอน” หรือ “ใช้ยา”?
ตอบ: โดยหลักง่าย ๆ

  • ถ้าเป็นพื้นที่เล็ก พืชผักหลากชนิด หรือใกล้แหล่งน้ำ–บ้านคนมาก → เน้นถอน–ถาก–คลุมดิน ลดใช้สาร
  • ถ้าเป็นนาข้าว/พืชไร่พื้นที่กว้าง ผักปลาบขึ้นหนาแน่นทั้งแปลง → ต้องคิดเป็น “แผนผสมผสาน” ใช้ทั้งคุมเมล็ด (ถ้าเป็นไปได้), พ่นสารหลังงอกในช่วงเหมาะสม และถากเสริมในจุดที่หนาแน่น

หากไม่สะดวกสั่งซื้อสินค้า ผ่านระบบในเว็บไซต์ กรุณาโทร 095-5419953 หรือ แอดไลน์ @260afyhm
แอดมินของเรายินดีให้บริการค่ะ

เพิ่มเพื่อน

error: Content is protected !!