Last Updated on มิถุนายน 3, 2025 by admin
การทำความเข้าใจเรื่อง สูตรปุ๋ย ถือเป็นหัวใจสำคัญของการเกษตรและพืชสวนในยุคปัจจุบัน ไม่ว่าท่านจะเป็นเกษตรกรมืออาชีพที่มุ่งหวังผลผลิตปริมาณสูงและมีคุณภาพ หรือเป็นเพียงผู้ที่รักการปลูกต้นไม้เป็นงานอดิเรก การเลือกใช้ปุ๋ยที่ถูกต้องและเหมาะสมกับชนิดของพืช ช่วงการเจริญเติบโต และความต้องการเฉพาะของพืชนั้นๆ จะเป็นปัจจัยชี้ขาดที่ช่วยให้พืชเจริญเติบโตแข็งแรง สมบูรณ์ สามารถออกดอกออกผลได้อย่างเต็มศักยภาพ และให้ผลผลิตที่น่าพึงพอใจ บทความนี้จะพาทุกท่านเจาะลึกเรื่องราวของสูตรปุ๋ยอย่างละเอียดและครอบคลุม เพื่อให้ท่านสามารถนำความรู้ไปปรับใช้ได้อย่างมั่นใจและเกิดประโยชน์สูงสุดกับการเพาะปลูกของท่าน
ความหมายของ สูตรปุ๋ย: N-P-K คืออะไร และสำคัญอย่างไร?
เมื่อเราพิจารณากระสอบหรือบรรจุภัณฑ์ของปุ๋ยเคมี สิ่งแรกที่สังเกตเห็นได้ชัดเจนคือตัวเลข 3 ชุด ที่คั่นด้วยเครื่องหมายขีดกลาง (-) เช่น 16-16-16, 46-0-0, หรือ 13-13-21 ตัวเลขเหล่านี้ไม่ใช่รหัสลับ แต่เป็นข้อมูลสำคัญที่บ่งบอกถึง อัตราส่วนร้อยละโดยน้ำหนักของธาตุอาหารหลัก 3 ชนิด ที่มีความจำเป็นอย่างยิ่งยวดต่อการดำรงชีวิตและการเจริญเติบโตของพืช ได้แก่:
- N (ไนโตรเจน – Nitrogen):
- บทบาทสำคัญ: เป็นองค์ประกอบหลักของคลอโรฟิลล์ ซึ่งจำเป็นสำหรับกระบวนการสังเคราะห์ด้วยแสง ทำให้พืชมีใบสีเขียวสดใส นอกจากนี้ยังเป็นองค์ประกอบของกรดอะมิโน โปรตีน และเอนไซม์ต่างๆ ที่ควบคุมการเจริญเติบโตโดยรวมของพืช
- ผลต่อพืช: ส่งเสริมการเจริญเติบโตทางกิ่ง ใบ และลำต้น ทำให้พืชตั้งตัวได้เร็ว แตกพุ่มได้ดี หากพืชได้รับไนโตรเจนเพียงพอ ใบจะมีขนาดใหญ่ สีเขียวเข้ม และลำต้นแข็งแรง
- P (ฟอสฟอรัส – Phosphorus):
- บทบาทสำคัญ: เป็นองค์ประกอบของสารพันธุกรรม (DNA, RNA) และสารให้พลังงานสูง (ATP) ซึ่งจำเป็นสำหรับทุกกิจกรรมของเซลล์พืช มีบทบาทสำคัญในการแบ่งเซลล์ การเจริญเติบโตของราก การสร้างตาดอก การติดผล และการพัฒนาของเมล็ด
- ผลต่อพืช: กระตุ้นการแตกรากใหม่ ทำให้ระบบรากแข็งแรงและแผ่ขยายได้ดี เพิ่มประสิทธิภาพในการดูดน้ำและธาตุอาหาร ส่งเสริมการออกดอกและติดผลให้ดียิ่งขึ้น ช่วยให้ผลผลิตสุกแก่เร็วขึ้น
- K (โพแทสเซียม – Potassium):
- บทบาทสำคัญ: ควบคุมการเปิดปิดของปากใบ ซึ่งเกี่ยวข้องกับการคายน้ำและการแลกเปลี่ยนก๊าซ กระตุ้นการทำงานของเอนไซม์หลายชนิด ช่วยในการเคลื่อนย้ายน้ำตาล แป้ง และโปรตีนไปยังส่วนต่างๆ ของพืช โดยเฉพาะส่วนผลและเมล็ด
- ผลต่อพืช: เพิ่มความแข็งแรงของเซลล์พืช ทำให้พืชทนทานต่อสภาวะแห้งแล้ง โรค และแมลงศัตรูพืชได้ดีขึ้น ส่งเสริมคุณภาพของผลผลิต เช่น เพิ่มความหวาน ขนาด สีสัน และน้ำหนักของผล ช่วยให้ผลผลิตเก็บรักษาได้นานขึ้น
การคำนวณปริมาณธาตุอาหารจริง: ตัวอย่างเช่น ปุ๋ยสูตร 15-15-15 หนัก 1 กระสอบ (50 กิโลกรัม) จะมีเนื้อธาตุอาหารดังนี้:
- ไนโตรเจน (N): (15/100) * 50 = 7.5 กิโลกรัม
- ฟอสฟอรัสที่เป็นประโยชน์ (P₂O₅): (15/100) * 50 = 7.5 กิโลกรัม
- โพแทสเซียมที่ละลายน้ำได้ (K₂O): (15/100) * 50 = 7.5 กิโลกรัม
สูตรปุ๋ย สำหรับใช้ในกรณีต่างๆ
การเลือกใช้สูตรปุ๋ยที่เหมาะสมนั้นขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายประการ ทั้งชนิดของพืชที่ปลูก (พืชกินใบ พืชหัว ไม้ดอก ไม้ผล) ระยะการเจริญเติบโตของพืช (ระยะต้นกล้า ระยะสร้างทรงพุ่ม ระยะออกดอก ระยะติดผล) และวัตถุประสงค์หลักในการบำรุง
1. สูตรเร่งการเจริญเติบโตทางใบและลำต้น (ระยะบำรุงต้น หรือ “เร่งใบ”):
ในช่วงแรกของการเพาะปลูก หรือเมื่อต้องการให้พืชเน้นการเจริญเติบโตทางส่วนเหนือดิน เช่น ใบ กิ่ง และลำต้น ควรเลือกใช้ปุ๋ยที่มีสัดส่วนของ ไนโตรเจน (N) สูง เป็นหลัก เพื่อส่งเสริมการสร้างคลอโรฟิลล์และการแบ่งเซลล์ที่เกี่ยวข้องกับการเติบโตของส่วนสีเขียว
- สูตรตัวอย่างที่แนะนำ:
- 25-7-7, 30-10-10, 20-10-10: เหมาะสำหรับพืชผักกินใบ (คะน้า กวางตุ้ง ผักกาดขาว) สนามหญ้า ไม้ประดับที่เน้นความสวยงามของใบ หรือใช้บำรุงต้นกล้าหลังย้ายปลูกให้ตั้งตัวได้เร็ว
- 46-0-0 (ปุ๋ยยูเรีย): ให้ไนโตรเจนสูงมาก เหมาะสำหรับพืชที่ต้องการไนโตรเจนอย่างรวดเร็ว เช่น ข้าวในระยะแตกกอ หรือพืชไร่บางชนิด ควรระมัดระวังในการใช้เพราะอาจทำให้ดินเป็นกรดได้หากใช้ติดต่อกันเป็นเวลานาน และอาจทำให้พืช “เฝือใบ” หากได้รับมากเกินไป
- 21-0-0 (แอมโมเนียมซัลเฟต): นอกจากไนโตรเจนแล้ว ยังมีกำมะถัน (S) เป็นองค์ประกอบ ซึ่งเป็นธาตุอาหารรองที่สำคัญ
- 15-0-0 (แคลเซียมไนเตรท): ให้ทั้งไนโตรเจนและแคลเซียม ช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงของผนังเซลล์พืช ลดปัญหาการแตกของผลบางชนิด
- อาการขาดไนโตรเจน: ใบเหลืองซีด โดยเฉพาะใบล่างๆ ก่อน ต้นแคระแกร็น โตช้า
- ข้อควรระวัง: การให้ไนโตรเจนที่มากเกินความจำเป็น อาจทำให้พืชมีใบดกหนาเกินไป ลำต้นอวบน้ำ อ่อนแอต่อโรคและแมลงได้ง่าย และอาจชะลอการออกดอกออกผล
2. สูตรสะสมอาหารเพื่อการออกดอก (ระยะ “เร่งดอก”):
เมื่อพืชเจริญเติบโตทางลำต้นและใบจนสมบูรณ์เต็มที่แล้ว และเข้าสู่ช่วงที่พร้อมจะสืบพันธุ์ (ออกดอก) ควรปรับสูตรปุ๋ยเพื่อกระตุ้นการสร้างตาดอก โดยเน้นปุ๋ยที่มีสัดส่วนของ ฟอสฟอรัส (P) สูง และอาจมี โพแทสเซียม (K) ในปริมาณที่เหมาะสม เพื่อช่วยในการสะสมพลังงานและสารอาหารที่จำเป็นสำหรับการพัฒนาตาดอก
- สูตรตัวอย่างที่แนะนำ:
- 8-24-24, 12-24-12, 10-30-20: เป็นสูตรที่นิยมใช้กับไม้ดอก ไม้ผล เพื่อกระตุ้นการแตกตาดอก และเพิ่มปริมาณดอก
- 0-52-34 (โมโนโพแทสเซียมฟอสเฟต – MKP): เป็นปุ๋ยเกล็ดละลายน้ำ ให้ฟอสฟอรัสและโพแทสเซียมสูงมาก ไม่มีไนโตรเจน เหมาะสำหรับฉีดพ่นทางใบหรือให้ทางระบบน้ำเพื่อเร่งดอกโดยเฉพาะ
- 10-52-17: มีฟอสฟอรัสสูงมากเช่นกัน และมีไนโตรเจนเล็กน้อยเพื่อประคองต้น
- 15-30-15: เป็นอีกสูตรที่สมดุลสำหรับการกระตุ้นดอกและบำรุงต้นไปพร้อมกัน
- อาการขาดฟอสฟอรัส: ใบล่างอาจมีสีม่วงแดง การเจริญเติบโตช้า ออกดอกน้อยหรือไม่สม่ำเสมอ ระบบรากไม่พัฒนา
- เคล็ดลับเพิ่มเติม: ในไม้ผลบางชนิด การงดให้น้ำเล็กน้อย ก่อนการให้ปุ๋ยสูตรเร่งดอก อาจช่วยกระตุ้นให้พืชตอบสนองต่อการออกดอกได้ดียิ่งขึ้น
3. สูตรบำรุงผลผลิต (ระยะ “เร่งผล” หรือ “เพิ่มความหวาน”):
หลังจากที่พืชติดผลแล้ว ช่วงนี้เป็นช่วงที่พืชต้องการพลังงานและสารอาหารจำนวนมากเพื่อนำไปพัฒนาผลให้มีขนาดใหญ่ คุณภาพดี เนื้อแน่น รสชาติหวาน และมีน้ำหนักตามมาตรฐาน ควรเน้นปุ๋ยที่มีสัดส่วนของ โพแทสเซียม (K) สูง เป็นพิเศษ
- สูตรตัวอย่างที่แนะนำ:
- 13-13-21, 15-5-20, 8-16-24: เหมาะสำหรับไม้ผล พืชผักที่ให้ผล (มะม่วง ทุเรียน ลำไย มะเขือเทศ พริก) ในช่วงที่ผลกำลังพัฒนาขนาดและคุณภาพ
- 0-0-60 (โพแทสเซียมคลอไรด์ – MOP): ให้โพแทสเซียมสูงมาก ราคาค่อนข้างถูก แต่ควรระวังการใช้ในพืชที่ไม่ทนคลอรีน (เช่น ยาสูบ มันฝรั่ง ทุเรียนบางระยะ) เพราะอาจทำให้เกิดอาการใบไหม้ได้
- 0-0-50 + 18S (โพแทสเซียมซัลเฟต – SOP): ให้โพแทสเซียมสูงและมีกำมะถัน ไม่มีคลอรีน เหมาะสำหรับพืชที่อ่อนไหวต่อคลอรีน ช่วยเพิ่มคุณภาพผลผลิตได้ดี แต่ราคาสูงกว่า MOP
- สูตรที่มีธาตุอาหารรองและจุลธาตุเสริม: เช่น โบรอน (B) มีบทบาทสำคัญในการผสมเกสร การเคลื่อนย้ายน้ำตาล และการพัฒนาของผล แคลเซียม (Ca) ช่วยลดปัญหาผลแตกในพืชบางชนิด และเพิ่มความแน่นของเนื้อผล
- อาการขาดโพแทสเซียม: ขอบใบแก่เริ่มมีอาการไหม้ เหลืองจากขอบใบเข้ามา ผลมีขนาดเล็ก คุณภาพต่ำ รสชาติไม่ดี สุกไม่สม่ำเสมอ พืชอ่อนแอต่อโรค
- ข้อควรระวัง: การให้โพแทสเซียมมากเกินไปในช่วงที่ผลยังเล็กมาก อาจทำให้ผลสุกเร็วกว่ากำหนด แต่ขนาดอาจไม่ใหญ่เท่าที่ควร
4. สูตรบำรุงทั่วไป (สูตรเสมอ หรือ “บำรุงต้น-ใบ-ดอก-ผล”):
ปุ๋ยสูตรเสมอคือปุ๋ยที่มีอัตราส่วนของ N, P, และ K เท่ากัน หรือใกล้เคียงกัน ใช้สำหรับบำรุงพืชโดยทั่วไปในทุกระยะการเจริญเติบโต หรือในกรณีที่ไม่แน่ใจว่าพืชต้องการธาตุอาหารใดเป็นพิเศษ เพื่อช่วยให้พืชเจริญเติบโตอย่างสมดุล
- สูตรตัวอย่างที่แนะนำ:
- 15-15-15, 16-16-16, 18-18-18, 20-20-20: เป็นสูตรที่นิยมใช้กันอย่างแพร่หลาย สามารถใช้เป็นปุ๋ยรองพื้นก่อนปลูก หรือใช้บำรุงพืชผัก ไม้ดอก ไม้ประดับ และไม้ผล ในช่วงที่ไม่ได้ต้องการเน้นธาตุใดธาตุหนึ่งเป็นพิเศษ
ธาตุอาหารรองและจุลธาตุ: ส่วนประกอบที่มองข้ามไม่ได้
นอกจากธาตุอาหารหลัก N-P-K แล้ว พืชยังต้องการ ธาตุอาหารรอง (Secondary Macronutrients) และ จุลธาตุ (Micronutrients) ในปริมาณที่น้อยกว่า แต่ก็มีความสำคัญไม่แพ้กัน หากขาดธาตุเหล่านี้ไป พืชจะไม่สามารถเจริญเติบโตได้อย่างสมบูรณ์
- ธาตุอาหารรอง:
- แคลเซียม (Ca): องค์ประกอบสำคัญของผนังเซลล์ ช่วยให้เซลล์พืชแข็งแรง ลดปัญหาผลแตก ป้องกันโรคบางชนิด
- แมกนีเซียม (Mg): องค์ประกอบสำคัญของคลอโรฟิลล์ เกี่ยวข้องกับการสังเคราะห์แสง และการทำงานของเอนไซม์
- กำมะถัน (S): องค์ประกอบของกรดอะมิโนบางชนิด วิตามิน และเอนไซม์ เกี่ยวข้องกับการสร้างโปรตีนและกลิ่นเฉพาะตัวในพืชบางชนิด (เช่น กระเทียม หอม)
- จุลธาตุ:
- เหล็ก (Fe), แมงกานีส (Mn), สังกะสี (Zn), ทองแดง (Cu), โบรอน (B), โมลิบดีนัม (Mo), คลอรีน (Cl), นิกเกิล (Ni): แม้พืชต้องการในปริมาณน้อยมาก แต่แต่ละธาตุก็มีบทบาทเฉพาะในการทำงานของเอนไซม์ การสังเคราะห์แสง และกระบวนการเมแทบอลิซึมต่างๆ ของพืช
ปุ๋ยเคมีหลายสูตรในปัจจุบันมักมีการเติมธาตุอาหารรองและจุลธาตุเข้าไปด้วย หรืออาจมีการจำหน่ายปุ๋ยธาตุอาหารรองและจุลธาตุแบบเดี่ยวๆ หรือแบบรวมสำหรับฉีดพ่นทางใบเพื่อแก้ไขอาการขาดธาตุได้อย่างรวดเร็ว
การเลือกใช้สูตรปุ๋ยอย่างชาญฉลาดและปลอดภัย
- รู้จักชนิดและความต้องการของพืช: ศึกษาว่าพืชที่ปลูกเป็นพืชชนิดใด มีความต้องการธาตุอาหารหลัก รอง และจุลธาตุอย่างไรในแต่ละช่วงการเจริญเติบโต
- สังเกตอาการของพืช: การแสดงอาการผิดปกติของพืช เช่น ใบเหลือง ใบไหม้ เติบโตช้า อาจเป็นสัญญาณของการขาดธาตุอาหารบางชนิด
- วิเคราะห์ดิน (Soil Analysis): เป็นวิธีที่ดีที่สุดในการทราบปริมาณธาตุอาหารที่มีอยู่ในดิน และค่าความเป็นกรด-ด่าง (pH) ของดิน ซึ่งมีผลต่อการละลายและความเป็นประโยชน์ของธาตุอาหาร การวิเคราะห์ดินจะช่วยให้เลือกใช้ปุ๋ยได้ตรงจุดและไม่สิ้นเปลือง
- อ่านฉลากปุ๋ยอย่างละเอียด: ตรวจสอบสูตร N-P-K ปริมาณธาตุอาหารรอง/จุลธาตุ (ถ้ามี) คำแนะนำในการใช้ อัตราส่วน และข้อควรระวัง
- ปริมาณและวิธีการใส่ปุ๋ยที่ถูกต้อง:
- ใส่ปุ๋ยในปริมาณที่แนะนำ ไม่ควรใส่มากเกินไปเพราะอาจเป็นอันตรายต่อพืชและสิ้นเปลือง
- เลือกวิธีการใส่ที่เหมาะสม เช่น โรยรอบทรงพุ่ม (สำหรับไม้ผล ไม้ยืนต้น) หว่านให้ทั่วแปลง (สำหรับพืชไร่ พืชผัก) ละลายน้ำรดโคนต้น หรือฉีดพ่นทางใบ
- ควรใส่ปุ๋ยเมื่อดินมีความชื้นเพียงพอ เพื่อให้ปุ๋ยละลายและพืชดูดซึมไปใช้ได้
- เวลาและความถี่ในการใส่ปุ๋ย: ขึ้นอยู่กับชนิดของปุ๋ย (ปุ๋ยละลายเร็ว ปุ๋ยละลายช้า) ชนิดของพืช และสภาพแวดล้อม โดยทั่วไปควรแบ่งใส่ปุ๋ยหลายครั้งในปริมาณน้อย ดีกว่าใส่ครั้งเดียวในปริมาณมาก
- pH ของดิน: ค่า pH ของดินมีผลอย่างมากต่อการละลายและความพร้อมใช้ของธาตุอาหาร ปุ๋ยบางชนิดมีผลต่อการเปลี่ยนแปลงค่า pH ของดิน เช่น ยูเรีย หรือแอมโมเนียมซัลเฟต อาจทำให้ดินเป็นกรดมากขึ้นเมื่อใช้เป็นเวลานาน
- ความปลอดภัยในการใช้ปุ๋ย:
- สวมถุงมือและหน้ากากขณะใส่ปุ๋ยเคมีเพื่อป้องกันการสัมผัสโดยตรง
- เก็บปุ๋ยในที่แห้งและมิดชิด ห่างจากเด็กและสัตว์เลี้ยง
- หลีกเลี่ยงการใส่ปุ๋ยจนไหลบ่าลงสู่แหล่งน้ำ เพื่อลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม
อ่านบทความดีๆกันแล้ว
แล้วอย่าลืม แอดไลน์ มาเป็นเพื่อนกัน เพื่อให้ท่านไม่พลาดข่าวสารและโปรโมชั่นดีๆจากทางร้าน