Last Updated on กุมภาพันธ์ 21, 2025 by admin
ในบรรดาหญ้าปูสนามที่ได้รับความนิยมในประเทศไทย ” หญ้าญี่ปุ่น ” หรือที่รู้จักในชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Zoysia japonica โดดเด่นในฐานะตัวเลือกที่สวยงาม ทนทาน และต้องการการดูแลรักษาน้อย ด้วยคุณสมบัติที่เหมาะสมกับสภาพอากาศร้อนชื้นของเมืองไทย ทำให้หญ้าญี่ปุ่นกลายเป็นหญ้ายอดนิยมสำหรับจัดสวน ตกแต่งภูมิทัศน์ ทั้งบ้านพักอาศัย สนามกอล์ฟ และพื้นที่สาธารณะต่างๆ บทความนี้จะพาคุณไปเจาะลึกทุกแง่มุมของหญ้าญี่ปุ่น ตั้งแต่ลักษณะเด่น ข้อดีข้อเสีย วิธีปลูก การดูแลรักษา ไปจนถึงการนำไปประยุกต์ใช้ เพื่อให้คุณเข้าใจและสามารถเลือกใช้หญ้าญี่ปุ่นได้อย่างเหมาะสมกับความต้องการ
ทำความรู้จัก กับ หญ้าญี่ปุ่น
หญ้าญี่ปุ่นมีถิ่นกำเนิดในแถบเอเชียตะวันออก เช่น ญี่ปุ่น เกาหลี และจีน เป็นหญ้าในวงศ์ Poaceae มีลักษณะเด่นคือ ใบละเอียดเล็กสีเขียวเข้ม เมื่อขึ้นหนาแน่นจะ ให้พื้นผิวที่เรียบเนียนคล้ายพรม จึงเป็นที่ชื่นชอบในด้านความสวยงาม นอกจากนี้ หญ้าญี่ปุ่นยังเป็นหญ้าที่ เจริญเติบโตช้า ทำให้ไม่ต้องตัดบ่อย และมี ความทนทานต่อสภาพแวดล้อม หลายประการ
ลักษณะเด่นของ หญ้าญี่ปุ่น
- ใบละเอียด: ใบมีขนาดเล็กและละเอียด ทำให้พื้นผิวสนามหญ้าดูเรียบเนียนสวยงาม
- สีเขียวเข้ม: มีสีเขียวเข้มสวยงามตลอดทั้งปี (ในสภาพอากาศที่เหมาะสม)
- เจริญเติบโตช้า: ลดความถี่ในการตัดหญ้า ประหยัดเวลาและค่าใช้จ่ายในการดูแลรักษา
- ทนทานต่อการเหยียบย่ำ: สามารถทนต่อการใช้งานในพื้นที่ที่มีการสัญจร หรือการทำกิจกรรมต่างๆ บนสนามหญ้าได้ดี
- ทนทานต่อความแห้งแล้ง: สามารถทนทานต่อสภาพอากาศแห้งแล้งได้ดีกว่าหญ้าบางชนิด ทำให้ประหยัดน้ำในการดูแล
- ทนทานต่อโรคและแมลง: มีความต้านทานต่อโรคและแมลงศัตรูพืชได้ดี ทำให้ลดการใช้สารเคมี
- ปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมได้ดี: สามารถเจริญเติบโตได้ดีในสภาพดินและแสงแดดหลากหลาย
หญ้าญี่ปุ่น ข้อดี ข้อเสีย
ข้อดี:
- ความสวยงาม: ให้สนามหญ้าที่สวยงาม เรียบเนียน คล้ายพรม
- การดูแลรักษาง่าย: ต้องการการดูแลรักษาน้อยกว่าหญ้าหลายชนิด เช่น ไม่ต้องตัดบ่อย ทนทานต่อความแห้งแล้ง และโรคแมลง
- ความทนทาน: ทนทานต่อการเหยียบย่ำ และสภาพแวดล้อมที่ไม่เอื้ออำนวย
- อายุยืนยาว: หากดูแลรักษาอย่างเหมาะสม หญ้าญี่ปุ่นสามารถมีอายุยืนยาวได้หลายปี
ข้อเสีย:
- เจริญเติบโตช้า: ข้อดีที่ว่าไม่ต้องตัดบ่อย ก็เป็นข้อเสียในแง่ของการฟื้นตัวเมื่อเกิดความเสียหาย หรือการขยายพันธุ์ที่ช้ากว่าหญ้าบางชนิด
- ราคาค่อนข้างสูง: เมื่อเทียบกับหญ้าปูสนามบางชนิด หญ้าญี่ปุ่นอาจมีราคาสูงกว่า
- อาจเกิดปัญหาเรื่อง “แฝก” (Thatch): เนื่องจากเจริญเติบโตช้า และมีลำต้นใต้ดินหนาแน่น อาจเกิดการสะสมของเศษหญ้าแห้ง (Thatch) ซึ่งอาจต้องมีการจัดการบ้าง
การนำ หญ้าญี่ปุ่น ไปใช้งานในประเทศไทย
ด้วยคุณสมบัติที่โดดเด่น หญ้าญี่ปุ่นจึงถูกนำไปใช้อย่างหลากหลายในประเทศไทย เช่น:
- สนามหญ้าบ้านพักอาศัย: นิยมใช้จัดสวนหน้าบ้าน สนามหลังบ้าน เพื่อให้ได้สนามหญ้าที่สวยงามและดูแลรักษาง่าย
- สนามกอล์ฟ: ใช้ในบริเวณ Tee-off และ Fairway เนื่องจากทนทานต่อการเหยียบย่ำ และให้พื้นผิวที่เรียบเนียน
- สวนสาธารณะและพื้นที่พักผ่อน: เหมาะสำหรับพื้นที่ที่ต้องการความสวยงามและทนทานต่อการใช้งาน
- จัดสวนแนวตั้ง (Vertical Garden): ด้วยใบที่ละเอียดและเจริญเติบโตช้า ทำให้หญ้าญี่ปุ่นสามารถนำไปประยุกต์ใช้ในสวนแนวตั้งได้
- ตกแต่งภูมิทัศน์อาคารสำนักงานและโรงแรม: สร้างบรรยากาศที่สวยงามและร่มรื่นให้กับอาคารสถานที่
หญ้าญี่ปุ่น ดูแลอย่างไร?
การปลูก:
- เตรียมดิน: ปรับปรุงสภาพดินให้ร่วนซุย ระบายน้ำได้ดี หากดินไม่ดี ควรผสมปุ๋ยหมักหรือปุ๋ยคอก
- วิธีการปลูก: นิยมปลูก 2 วิธีหลัก คือ
- ปูแผ่นหญ้า: เป็นวิธีที่รวดเร็วและเห็นผลลัพธ์ทันที โดยนำแผ่นหญ้าญี่ปุ่นมาปูให้ชิดกัน
- ปลูกด้วยท่อนพันธุ์: ประหยัดค่าใช้จ่ายกว่า แต่ต้องใช้เวลาให้หญ้าเจริญเติบโตคลุมพื้นที่ โดยนำท่อนพันธุ์หญ้าญี่ปุ่นมาปักลงดินให้มีระยะห่างพอสมควร
- การให้น้ำครั้งแรก: หลังปลูก ควรรดน้ำให้ชุ่มทันที และรดน้ำสม่ำเสมอในช่วงแรก เพื่อให้หญ้าตั้งตัวได้ดี
การดูแลรักษา:
- การให้น้ำ: ควรรดน้ำอย่างสม่ำเสมอ โดยเฉพาะในช่วงฤดูแล้ง แต่ระวังอย่าให้น้ำขัง ควรรดน้ำในช่วงเช้า เพื่อให้ใบหญ้าแห้งทันก่อนค่ำ ลดความเสี่ยงของการเกิดโรคเชื้อรา
- การใส่ปุ๋ย: ควรใส่ปุ๋ยบำรุงสนามหญ้าอย่างสม่ำเสมอ เช่น ปุ๋ยสูตรเสมอ (15-15-15 หรือ 16-16-16) หรือปุ๋ยอินทรีย์ ควรใส่ปุ๋ยปีละ 2-3 ครั้ง
- การตัดหญ้า: เนื่องจากหญ้าญี่ปุ่นเจริญเติบโตช้า จึงไม่จำเป็นต้องตัดบ่อย โดยทั่วไปตัดเดือนละ 1-2 ครั้ง ควรตัดให้มีความสูงประมาณ 1-2 นิ้ว
- การกำจัดวัชพืช: ควรกำจัดวัชพืชอย่างสม่ำเสมอ โดยการถอนด้วยมือ หรือใช้สารกำจัดวัชพืชที่เหมาะสม
- การพรวนดินและเติมทราย: ปีละครั้ง ควรพรวนดินเพื่อให้อากาศถ่ายเทได้ดี และเติมทรายหยาบเพื่อปรับปรุงโครงสร้างดิน และลดปัญหาเรื่อง “แฝก”
หญ้าญี่ปุ่น ราคา เท่าไหร่?
- ราคาต่อตารางเมตร (ตร.ม.): โดยเฉลี่ยจะอยู่ที่ 50 – 150 บาทต่อตารางเมตร
ปัจจัยที่มีผลต่อราคาหญ้าญี่ปุ่น:
- คุณภาพและเกรดของหญ้า:
- เกรด A (พรีเมียม): หญ้าญี่ปุ่นที่มีคุณภาพสูง ใบละเอียด สีเขียวเข้ม สม่ำเสมอ ปลูกหนาแน่น และดูแลมาอย่างดี จะมีราคาสูงกว่า
- เกรดทั่วไป: หญ้าญี่ปุ่นเกรดมาตรฐานทั่วไป อาจมีใบหญ้าที่ขนาดไม่สม่ำเสมอ หรือสีเขียวไม่เข้มเท่าเกรดพรีเมียม ราคาก็จะถูกลงมา
- เกรดรอง: หญ้าญี่ปุ่นเกรดนี้อาจมีตำหนิบ้าง เช่น สีไม่สม่ำเสมอ หรือมีวัชพืชปะปน ราคาจะถูกที่สุด
- ปริมาณการสั่งซื้อ:
- สั่งซื้อจำนวนมาก: หากสั่งซื้อในปริมาณมาก (เช่น สำหรับโครงการจัดสวนขนาดใหญ่ หรือสนามกอล์ฟ) อาจได้รับส่วนลดราคาพิเศษจากผู้ขาย
- สั่งซื้อจำนวนน้อย: หากซื้อในปริมาณน้อย (เช่น สำหรับสวนหน้าบ้านขนาดเล็ก) ราคาต่อตารางเมตรอาจสูงกว่า
ราคาโดยประมาณ
- หญ้าญี่ปุ่นเกรดทั่วไป (ซื้อจำนวนน้อย): 80 – 120 บาท/ตร.ม.
- หญ้าญี่ปุ่นเกรดพรีเมียม (ซื้อจำนวนน้อย): 120 – 150 บาท/ตร.ม.
- หญ้าญี่ปุ่นเกรดทั่วไป (ซื้อจำนวนมาก): 50 – 80 บาท/ตร.ม. (อาจได้ส่วนลดมากกว่านี้)
คำแนะนำในก่อนการซื้อหญ้าญี่ปุ่น:
- สำรวจราคา: ก่อนตัดสินใจซื้อ ควรสำรวจราคาจากหลายๆ แหล่ง ทั้งร้านขายหญ้าโดยตรง ร้านต้นไม้ และตลาดต้นไม้ เพื่อเปรียบเทียบราคาและคุณภาพ
- ตรวจสอบคุณภาพ: ควรไปดูหญ้าด้วยตัวเอง หรือขอรูปภาพจากผู้ขาย เพื่อตรวจสอบคุณภาพของหญ้า ดูว่าใบละเอียด สีเขียวสม่ำเสมอ และไม่มีวัชพืชปะปน
- สอบถามค่าขนส่ง: สอบถามค่าขนส่งให้ชัดเจนก่อนตัดสินใจซื้อ โดยเฉพาะหากสั่งซื้อในปริมาณมาก หรือระยะทางไกล
หญ้าญี่ปุ่น เป็นหญ้าปูสนามที่ได้รับความนิยมอย่างสูงในประเทศไทย ด้วยคุณสมบัติที่โดดเด่นด้านความสวยงาม ความทนทาน และการดูแลรักษาง่าย เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการสนามหญ้าที่สวยงามและต้องการการดูแลที่ไม่ยุ่งยาก หากคุณกำลังมองหาหญ้าปูสนามสำหรับบ้าน สวน หรือโครงการต่างๆ หญ้าญี่ปุ่นก็เป็นอีก 1ตัวเลือกที่น่าสนใจและคุ้มค่าอย่างแน่นอน
อ่านบทความดีๆกันแล้ว
แล้วอย่าลืม แอดไลน์ มาเป็นเพื่อนกัน เพื่อให้ท่านไม่พลาดข่าวสารและโปรโมชั่นดีๆจากทางร้าน