Last Updated on มิถุนายน 12, 2025 by admin
หญ้าน้ำพุ (Fountain Grass) หรือที่มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Pennisetumsetaceum (Forssk.) Chiov. คือหนึ่งในหญ้าประดับที่ได้รับความนิยมสูงสุดในประเทศไทยและทั่วโลก ด้วยรูปทรงที่อ่อนช้อย พลิ้วไหวตามสายลมราวกับสายน้ำพุ และช่อดอกฟูฟ่องสวยงาม ทำให้มันกลายเป็นตัวเลือกอันดับต้นๆ สำหรับการตกแต่งสวนสไตล์โมเดิร์น สวนอังกฤษ หรือแม้กระทั่งสวนเมืองร้อน แต่ภายใต้ความงดงามนั้น มีประเด็นสำคัญที่นักจัดสวนทุกคนต้องทราบ นั่นคือสถานะ “พืชรุกราน” ในหลายพื้นที่ บทความนี้จะเจาะลึกทุกแง่มุมของหญ้าน้ำพุ ตั้งแต่ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ การปลูกเลี้ยง ไปจนถึงข้อควรระวังเพื่อการใช้งานอย่างรับผิดชอบ
ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ของ หญ้าน้ำพุ
หญ้าน้ำพุมีถิ่นกำเนิดในแอฟริกาตะวันออกเฉียงเหนือและตะวันออกกลาง เป็นพืชในวงศ์หญ้า มีลักษณะเด่นดังนี้
- ลำต้น : เจริญเติบโตเป็นกอแน่น สูงได้ตั้งแต่ 60-150 เซนติเมตร ลักษณะลำต้นตั้งตรงหรือโค้งงอเล็กน้อย
- ใบ : ใบเป็นใบเลี้ยงเดี่ยว รูปขอบขนานแคบยาว ปลายใบเรียวแหลม มีความยาวประมาณ 30-60 เซนติเมตร แผ่นใบมักจะโค้งงอลงอย่างสวยงาม ทำให้ทรงพุ่มโดยรวมดูคล้ายน้ำพุ
- ช่อดอก : นี่คือส่วนที่โดดเด่นที่สุด ช่อดอกเป็นแบบช่อกระจะแน่น ทรงกระบอกฟูฟ่องคล้ายขนนกหรือหางกระรอก มีความยาว 15-30 เซนติเมตร สีของช่อดอกมีตั้งแต่สีชมพูอ่อน สีม่วงแดง ไปจนถึงสีขาวครีม ช่อดอกจะปรากฏให้เห็นเด่นชัดในช่วงปลายฤดูฝนถึงฤดูหนาว
- เมล็ด : ภายในช่อดอกเต็มไปด้วยเมล็ดขนาดเล็กจำนวนมหาศาล ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้มันแพร่กระจายพันธุ์ได้อย่างรวดเร็ว
สายพันธุ์ หญ้าน้ำพุ ที่นิยมปลูกในประเทศไทย
แม้จะมีหลายสายพันธุ์ แต่ที่พบเห็นได้บ่อยในตลาดต้นไม้ของไทยมีอยู่ 2 ชนิดหลักๆ คือ:
- หญ้าน้ำพุเขียว (Pennisetumsetaceum): เป็นสายพันธุ์ดั้งเดิม มีใบสีเขียวสด และให้ช่อดอกสีชมพูอ่อนหรือสีครีม เป็นสายพันธุ์ที่เติบโตแข็งแรงและผลิตเมล็ดได้ดี ซึ่งเป็นสายพันธุ์ที่ต้องควบคุมการปลูกอย่างเข้มงวดที่สุด เนื่องจากมีศักยภาพในการรุกรานสูง
- หญ้าน้ำพุแดง (Pennisetumsetaceum ‘Rubrum’ หรือ ‘Purpureum’): เป็นสายพันธุ์ที่ได้รับความนิยมอย่างล้นหลาม มีใบและลำต้นสีม่วงแดงเข้มตลอดทั้งปี ช่อดอกมีสีม่วงแดงสวยงาม ข้อดีที่สำคัญของสายพันธุ์ ‘Rubrum’ คือ มักจะเป็นหมันหรือไม่ติดเมล็ด หรือถ้าติดเมล็ดก็มีอัตราการงอกต่ำมาก ทำให้มีความเสี่ยงในการรุกรานน้อยกว่าสายพันธุ์ใบเขียวอย่างมีนัยสำคัญ
การปลูกและการดูแลรักษา หญ้าน้ำพุ ให้สวยงาม
- แสงแดด: หญ้าน้ำพุชอบแสงแดดจัดตลอดทั้งวัน ยิ่งได้รับแดดมากเท่าไหร่ สีของใบ (โดยเฉพาะพันธุ์สีแดง) และการออกดอกจะยิ่งสวยงามและสมบูรณ์ หากปลูกในที่ร่มรำไร ต้นจะยืดสูงและให้ดอกน้อย
- ดิน: สามารถเติบโตได้ในดินแทบทุกชนิด แต่จะเจริญเติบโตได้ดีที่สุดในดินร่วนที่ระบายน้ำได้ดี ไม่ชอบดินที่ชื้นแฉะหรือน้ำขัง เพราะอาจทำให้รากเน่าได้
- น้ำ: มีความทนทานต่อความแห้งแล้งสูงมากเมื่อตั้งตัวได้แล้ว ควรรดน้ำสม่ำเสมอในช่วงแรกที่ปลูก หลังจากนั้นสามารถรดน้ำเมื่อดินแห้งได้ ไม่จำเป็นต้องรดทุกวัน
- ปุ๋ย: ไม่ต้องการปุ๋ยมากนัก อาจให้ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมักปีละ 1-2 ครั้งเพื่อบำรุงดิน หรือใช้ปุ๋ยละลายช้าสูตรเสมอเล็กน้อยก็เพียงพอ การให้ปุ๋ยไนโตรเจนมากเกินไปจะทำให้ต้นงามใบแต่ไม่ออกดอก
- การตัดแต่ง: เป็นขั้นตอนสำคัญในการดูแล ควรตัดแต่งกอให้สั้นชิดดิน (เหลือสูงประมาณ 10-15 ซม.) ปีละ 1 ครั้งในช่วงปลายฤดูหนาวหรือก่อนเข้าฤดูฝน เพื่อกำจัดใบเก่าที่แห้งตายและกระตุ้นให้แตกใบใหม่ที่สวยงาม การไม่ตัดแต่งจะทำให้กอดูโทรมและมีใบแห้งสะสมอยู่ภายใน
ประโยชน์ของ หญ้าน้ำพุ และการใช้งานในงานจัดสวน
- สร้างจุดเด่น : ปลูกเป็นกอเดี่ยวๆ เพื่อสร้างจุดเด่นที่น่าสนใจในสวน
- ปลูกเป็นกลุ่ม : การปลูกเป็นกลุ่มใหญ่ๆ จะสร้างทะเลหญ้าที่พลิ้วไหวสวยงาม เพิ่มมิติและเท็กซ์เจอร์ให้กับสวน
- ปลูกเป็นแนว : ใช้ปลูกเป็นแถวตามแนวทางเดิน ขอบสนาม หรือริมรั้ว เพื่อสร้างเส้นนำสายตาที่นุ่มนวล
- สวนหินและสวนทนแล้ง : ด้วยความทนทานต่อความแห้งแล้ง จึงเหมาะอย่างยิ่งสำหรับสวนประเภทนี้
- ไม้กระถาง: สามารถปลูกในกระถางขนาดใหญ่เพื่อตกแต่งระเบียงหรือชานบ้านได้ดี
- ดอกไม้แห้ง: ช่อดอกของหญ้าน้ำพุสามารถนำไปตากแห้งเพื่อใช้จัดประกอบช่อดอกไม้แห้งได้อย่างสวยงาม
หญ้าน้ำพุ กับ สถานะ “พืชรุกราน” (Invasive Species)ที่ต้องรู้
นี่คือประเด็นที่สำคัญที่สุดและเป็นข้อมูลที่ได้รับการยืนยันจากหน่วยงานด้านสิ่งแวดล้อมทั่วโลก รวมถึงในประเทศไทย
Pennisetumsetaceum (โดยเฉพาะสายพันธุ์ใบเขียว) ถูกจัดให้เป็น “พืชต่างถิ่นรุกราน” (Invasive Alien Species – IAS) ในหลายประเทศ เช่น สหรัฐอเมริกา (โดยเฉพาะฮาวายและแคลิฟอร์เนีย), ออสเตรเลีย, แอฟริกาใต้ และบางส่วนของยุโรป
ทำไมจึงเป็นพืชรุกราน?
- ผลิตเมล็ดจำนวนมหาศาล: ต้นเดียวสามารถผลิตเมล็ดได้หลายพันเมล็ดต่อปี
- แพร่กระจายโดยลม: เมล็ดมีขนาดเล็กและมีขนติดอยู่ ทำให้ปลิวไปกับลมได้ไกลหลายกิโลเมตร
- ทนทานและปรับตัวเก่ง: สามารถงอกและเติบโตได้ในสภาพแวดล้อมที่แห้งแล้งและดินไม่สมบูรณ์ ทำให้เข้าไปแทนที่พืชท้องถิ่นได้อย่างรวดเร็ว
- เพิ่มความเสี่ยงไฟป่า: ใบที่แห้งตายแล้วของหญ้าน้ำพุเป็นเชื้อเพลิงอย่างดี ทำให้ไฟป่าลุกลามได้ง่ายและรุนแรงขึ้น
สถานการณ์ในประเทศไทย: กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ได้เคยประกาศรายชื่อชนิดพันธุ์พืชต่างถิ่นที่ควรป้องกัน ควบคุม และกำจัดของประเทศไทย ซึ่งมีชื่อของ Pennisetumsetaceum อยู่ในบัญชีพืชต่างถิ่นที่รุกรานแล้ว แม้จะยังไม่มีมาตรการควบคุมการซื้อขายที่เข้มงวด แต่ก็ถือเป็นสัญญาณเตือนถึงอันตรายต่อระบบนิเวศท้องถิ่น
ปลูกอย่างไรให้รับผิดชอบ?
เพื่อความงดงามของสวนที่ไม่สร้างปัญหาสิ่งแวดล้อม ควรปฏิบัติดังนี้:
- เลือกสายพันธุ์ที่ปลอดภัย: หากเป็นไปได้ ให้เลือกปลูกพันธุ์สีแดง Pennisetumsetaceum ‘Rubrum’ ซึ่งเป็นหมันหรือติดเมล็ดน้อยมากแทนสายพันธุ์ใบเขียว
- ตัดช่อดอกทิ้ง: สำหรับสายพันธุ์ที่ติดเมล็ด (โดยเฉพาะพันธุ์เขียว) ควรตัดช่อดอกทิ้งทันทีที่เริ่มแก่หรือเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาล ก่อนที่เมล็ดจะร่วงหล่นและปลิวไปตามลม
- ควบคุมพื้นที่ปลูก: ไม่ควรปลูกหญ้าน้ำพุใกล้กับพื้นที่ธรรมชาติ ป่าอนุรักษ์ หรืออุทยานแห่งชาติโดยเด็ดขาด
- กำจัดอย่างถูกวิธี: หากต้องการกำจัดทิ้ง ควรขุดทิ้งทั้งรากและนำไปทิ้งในถุงขยะที่ปิดมิดชิด อย่าทิ้งไว้ในที่โล่งซึ่งเมล็ดอาจแพร่กระจายได้
อ่านบทความดีๆกันแล้ว
แล้วอย่าลืม แอดไลน์ มาเป็นเพื่อนกัน เพื่อให้ท่านไม่พลาดข่าวสารและโปรโมชั่นดีๆจากทางร้าน