Last Updated on มกราคม 23, 2025 by admin
เห็ดฟาง หรือชื่อวิทยาศาสตร์ Volvariella volvacea เป็นเห็ดที่ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายในเอเชีย โดยเฉพาะในประเทศไทย จีน และเวียดนาม ซึ่งเห็ดชนิดนี้ไม่ได้มีดีแค่รสชาติที่อร่อย แต่ยังมีคุณค่าทางโภชนาการและสรรพคุณที่ดีต่อสุขภาพอีกด้วย
สารบัญ
ซ่อน
ลักษณะของเห็ดฟาง:
- หมวกเห็ด (Cap หรือ Pileus): มีลักษณะคล้ายร่ม เมื่อดอกเห็ดยังอ่อนจะมีลักษณะเป็นก้อนกลมสีขาวหรือเทาอ่อน เมื่อเจริญเติบโตเต็มที่หมวกเห็ดจะกางออกคล้ายร่ม มีเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 4-12 เซนติเมตร ขึ้นอยู่กับสายพันธุ์และสภาพแวดล้อม ผิวหมวกเรียบและอาจมีขนละเอียดคลุมอยู่บางๆ คล้ายเส้นไหม ตรงกลางหมวกดอกจะมีสีเข้มกว่าบริเวณขอบหมวก สีของหมวกมีตั้งแต่สีขาว เทาอ่อน ไปจนถึงดำ
- ก้านดอก (Stipe): มีสีขาว เนื้อในแน่นและละเอียด
- ผ้าอ้อมเห็ด (Volva): เป็นเยื่อหุ้มกระเปาะคล้ายถ้วย รองรับฐานเห็ด เป็นลักษณะเด่นของเห็ดฟาง
- การเจริญเติบโต: เห็ดฟางเจริญเติบโตบนกองฟางข้าวเป็นกลุ่ม 2-6 ดอก และจะถูกเก็บเกี่ยวในระยะที่ยังเจริญไม่เต็มที่ คือยังเป็นตุ่มกลมๆ ก่อนที่หมวกเห็ดจะผุดออกมา ซึ่งใช้เวลาประมาณ 4-5 วัน
ชื่อเรียกอื่นๆ:
- ชื่อวิทยาศาสตร์: Volvariella volvacea (Bull-ex Fr.) Sing.
- ชื่อสามัญ: Straw Mushroom
- ชื่ออื่นๆ ในภาษาไทย: เดิมคนไทยเรียกเห็ดฟางว่า “เห็ดบัว” เพราะเกิดขึ้นเองในกองเปลือกเมล็ดบัว ภาคอีสานเรียกว่า “เห็ดเฟียง”
เหตุผลดีๆที่คุณควรเพาะเห็ดฟาง:
- ใช้พื้นที่น้อย เพาะง่าย: การเพาะเห็ดฟางไม่จำเป็นต้องใช้พื้นที่มาก สามารถเพาะในพื้นที่จำกัด เช่น ในตะกร้า หรือในโรงเรือนขนาดเล็กได้ ทำให้เหมาะสำหรับผู้ที่มีพื้นที่น้อย เช่น ผู้ที่อาศัยอยู่ในเมือง หรือผู้ที่มีพื้นที่เกษตรจำกัด
- ใช้วัสดุเหลือใช้ทางการเกษตร: วัสดุเพาะเห็ดฟางส่วนใหญ่เป็นวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตร เช่น ฟางข้าว ซึ่งหาได้ง่ายและมีราคาถูก ช่วยลดต้นทุนการผลิตและเป็นการใช้ทรัพยากรให้เกิดประโยชน์สูงสุด นอกจากฟางข้าวแล้ว ยังสามารถใช้วัสดุอื่นๆ ได้อีก เช่น ผักตบชวา กากมันสำปะหลัง หรือทะลายปาล์ม
- ระยะเวลาเพาะสั้น ได้ผลผลิตเร็ว: การเพาะเห็ดฟางใช้เวลาเพียง 7-10 วัน ก็สามารถเก็บเกี่ยวผลผลิตได้ ทำให้มีรายได้หมุนเวียนเร็ว เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการผลตอบแทนในระยะเวลาอันสั้น
- ลงทุนน้อย กำไรดี: ต้นทุนในการเพาะเห็ดฟางค่อนข้างต่ำ เนื่องจากใช้วัสดุเหลือใช้ทางการเกษตรเป็นหลัก และใช้เทคนิคที่ไม่ซับซ้อน แต่ผลตอบแทนค่อนข้างดี เนื่องจากเห็ดฟางเป็นที่ต้องการของตลาด
- บริโภคเองได้ ปลอดภัย: การเพาะเห็ดฟางเองทำให้มั่นใจได้ในความปลอดภัยจากสารเคมี เนื่องจากสามารถควบคุมกระบวนการผลิตได้เอง และมีเห็ดสดใหม่ไว้บริโภคในครัวเรือนได้ตลอด
- คุณค่าทางโภชนาการสูง: เห็ดฟางมีคุณค่าทางโภชนาการสูง อุดมไปด้วยโปรตีน วิตามิน และแร่ธาตุต่างๆ มีประโยชน์ต่อสุขภาพ การบริโภคเห็ดฟางจึงเป็นทางเลือกที่ดีสำหรับผู้ที่ต้องการดูแลสุขภาพ
- เป็นอาชีพเสริมสร้างรายได้: การเพาะเห็ดฟางสามารถทำเป็นอาชีพเสริมเพื่อสร้างรายได้ให้กับครอบครัวได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งในพื้นที่ที่มีการทำนาข้าว ซึ่งมีฟางข้าวเป็นวัสดุเพาะอยู่แล้ว
ขั้นตอนการเพาะเห็ดฟาง อย่างละเอียด
ขั้นตอนที่ 1: การเตรียมวัสดุเพาะ
- วัสดุเพาะหลัก
- ฟางข้าว: ใช้ฟางข้าวที่แห้งสนิท ไม่มีเชื้อรา หรือสิ่งสกปรกเจือปน
- กากถั่วเหลืองหรือรำละเอียด: เป็นแหล่งสารอาหารเสริม
- มูลสัตว์: เช่น มูลวัวหรือมูลควาย ที่ผ่านการหมักจนสลายตัวดีแล้ว
- ปูนขาว: ใช้เพื่อปรับความเป็นกรด-ด่างของวัสดุเพาะ
- อุปกรณ์เสริม
- พลาสติกคลุม: สำหรับรักษาความชื้น
- น้ำสะอาด: สำหรับใช้ฉีดพ่นและหมักวัสดุ
- เชื้อเห็ดฟาง: สามารถหาซื้อได้จากร้านเกษตร
ขั้นตอนที่ 2: การเตรียมวัสดุเพาะ
- การแช่ฟาง
- นำฟางข้าวแช่น้ำสะอาดทิ้งไว้ประมาณ 12-24 ชั่วโมง เพื่อให้ฟางดูดซับน้ำเต็มที่
- หลังจากนั้น ยกฟางขึ้นจากน้ำและปล่อยให้สะเด็ดน้ำ
- การหมักวัสดุ
- ผสมฟางแช่น้ำกับกากถั่วเหลืองหรือรำละเอียดในอัตราส่วน 10:1
- เติมมูลสัตว์ประมาณ 10-15% ของน้ำหนักฟาง
- โรยปูนขาวเล็กน้อยเพื่อปรับสภาพดิน แล้วคลุกเคล้าส่วนผสมให้เข้ากัน
- หมักวัสดุไว้ในที่ร่มประมาณ 3-5 วัน โดยหมั่นกลับกองหมักทุกวันเพื่อให้อากาศถ่ายเท
ขั้นตอนที่ 3: การจัดเตรียมแปลงเพาะ
- รูปแบบแปลง
- แปลงเพาะอาจทำในลักษณะกองเตี้ย (แบบเปิด) หรือภายในโรงเรือน (แบบปิด)
- ขนาดแปลงเพาะแนะนำให้มีความกว้างประมาณ 1 เมตร และความยาวตามพื้นที่ที่เหมาะสม
- การวางวัสดุเพาะ
- นำวัสดุที่หมักไว้วางเป็นชั้นบนแปลงเพาะ โดยให้ความหนาของชั้นประมาณ 15-20 เซนติเมตร
- โรยเชื้อเห็ดฟางให้กระจายทั่วแปลง แล้ววางวัสดุเพาะอีกชั้นทับลงไป
- ทำซ้ำจนวัสดุเพาะครบตามความหนาที่ต้องการ
ขั้นตอนที่ 4: การดูแลรักษา
- การควบคุมอุณหภูมิ
- เห็ดฟางเติบโตได้ดีในอุณหภูมิ 30-35 °C
- หากอุณหภูมิเย็นเกินไป อาจคลุมพลาสติกเพื่อเพิ่มความร้อน
- การควบคุมความชื้น
- รักษาความชื้นในวัสดุเพาะให้เหมาะสม โดยฉีดพ่นน้ำวันละ 1-2 ครั้ง แต่หลีกเลี่ยงการให้น้ำมากเกินไปจนวัสดุแฉะ
- การระบายอากาศ
- หากเพาะในโรงเรือน ควรเปิดช่องระบายอากาศในช่วงกลางวันเพื่อป้องกันการสะสมของก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์
ขั้นตอนที่ 5: การเก็บเกี่ยว
- ระยะเวลาเก็บเกี่ยว
- เห็ดฟางพร้อมเก็บเกี่ยวภายใน 7-10 วันหลังการเพาะเชื้อ
- ช่วงเวลาที่เหมาะสมที่สุดคือเมื่อดอกเห็ดยังอยู่ในระยะตูมและมีเยื่อหุ้มดอกสมบูรณ์
- วิธีการเก็บเกี่ยว
- ใช้มือบิดดอกเห็ดออกจากวัสดุเพาะอย่างเบามือเพื่อป้องกันความเสียหาย
- ควรเก็บเกี่ยวในช่วงเช้าตรู่เพื่อรักษาความสดของดอกเห็ด
ประโยชน์ของเห็ดฟาง
- คุณค่าทางโภชนาการ
- โปรตีนสูง: เห็ดฟางมีโปรตีนที่ย่อยง่ายและมีกรดอะมิโนที่จำเป็นต่อร่างกาย
- ไขมันต่ำ: เป็นอาหารที่เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการควบคุมน้ำหนัก
- แร่ธาตุและวิตามิน: อุดมไปด้วยแร่ธาตุ เช่น โพแทสเซียม แมกนีเซียม และวิตามินบีรวมที่ช่วยเสริมสร้างพลังงาน
- เสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน
- เห็ดฟางมีสารต้านอนุมูลอิสระ เช่น โพลีแซคคาไรด์ ซึ่งช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันให้แข็งแรง
- สารเหล่านี้ยังช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคเรื้อรัง เช่น มะเร็งและโรคหัวใจ
- ช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด
- การบริโภคเห็ดฟางอย่างต่อเนื่องสามารถช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้ เนื่องจากมีปริมาณน้ำตาลและคาร์โบไฮเดรตที่ต่ำ
- ส่งเสริมสุขภาพลำไส้
- เห็ดฟางมีใยอาหารที่ช่วยกระตุ้นการทำงานของระบบย่อยอาหารและป้องกันปัญหาท้องผูก
- ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอล
- การรับประทานเห็ดฟางสามารถช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลชนิดไม่ดี (LDL) และส่งเสริมคอเลสเตอรอลชนิดดี (HDL) ซึ่งช่วยลดความเสี่ยงของโรคหลอดเลือดหัวใจ
- เป็นอาหารเพื่อสุขภาพในผู้สูงอายุ
- ด้วยคุณค่าทางโภชนาการที่ครบถ้วนและย่อยง่าย เห็ดฟางจึงเหมาะสำหรับผู้สูงอายุที่ต้องการอาหารที่ดีต่อสุขภาพและง่ายต่อการบริโภค
จะเห็นได้ว่าการเพาะเห็ดฟางนั้นมีข้อดีอยู่มากมาย ทั้งสามารถสร้างรายได้เสริม เป็นการใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์ หรือกระทั่งการสร้างอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการไว้บริโภคเอง และยังเป็นการใช้ทรัพยากรเหลือใช้ทางการเกษตรให้เกิดประโยชน์สูงสุดอีกด้วย
อ่านบทความดีๆกันแล้ว
แล้วอย่าลืม แอดไลน์ มาเป็นเพื่อนกัน เพื่อให้ท่านไม่พลาดข่าวสารและโปรโมชั่นดีๆจากทางร้าน