กุมภาพันธ์ 7, 2025

Blog

สูตรลับ เพาะเห็ดฟาง ง่ายๆ ได้ผลผลิตเกินคาด!

คลังบทความ
ฝากกดแชร์เป็นกำลังใจให้ด้วยนะคะ

Last Updated on มกราคม 23, 2025 by admin

เห็ดฟาง หรือชื่อวิทยาศาสตร์ Volvariella volvacea เป็นเห็ดที่ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายในเอเชีย โดยเฉพาะในประเทศไทย จีน และเวียดนาม ซึ่งเห็ดชนิดนี้ไม่ได้มีดีแค่รสชาติที่อร่อย แต่ยังมีคุณค่าทางโภชนาการและสรรพคุณที่ดีต่อสุขภาพอีกด้วย

ลักษณะของเห็ดฟาง:

  • หมวกเห็ด (Cap หรือ Pileus): มีลักษณะคล้ายร่ม เมื่อดอกเห็ดยังอ่อนจะมีลักษณะเป็นก้อนกลมสีขาวหรือเทาอ่อน เมื่อเจริญเติบโตเต็มที่หมวกเห็ดจะกางออกคล้ายร่ม มีเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 4-12 เซนติเมตร ขึ้นอยู่กับสายพันธุ์และสภาพแวดล้อม ผิวหมวกเรียบและอาจมีขนละเอียดคลุมอยู่บางๆ คล้ายเส้นไหม ตรงกลางหมวกดอกจะมีสีเข้มกว่าบริเวณขอบหมวก สีของหมวกมีตั้งแต่สีขาว เทาอ่อน ไปจนถึงดำ
  • ก้านดอก (Stipe): มีสีขาว เนื้อในแน่นและละเอียด
  • ผ้าอ้อมเห็ด (Volva): เป็นเยื่อหุ้มกระเปาะคล้ายถ้วย รองรับฐานเห็ด เป็นลักษณะเด่นของเห็ดฟาง
  • การเจริญเติบโต: เห็ดฟางเจริญเติบโตบนกองฟางข้าวเป็นกลุ่ม 2-6 ดอก และจะถูกเก็บเกี่ยวในระยะที่ยังเจริญไม่เต็มที่ คือยังเป็นตุ่มกลมๆ ก่อนที่หมวกเห็ดจะผุดออกมา ซึ่งใช้เวลาประมาณ 4-5 วัน

ชื่อเรียกอื่นๆ:

  • ชื่อวิทยาศาสตร์: Volvariella volvacea (Bull-ex Fr.) Sing.
  • ชื่อสามัญ: Straw Mushroom
  • ชื่ออื่นๆ ในภาษาไทย: เดิมคนไทยเรียกเห็ดฟางว่า “เห็ดบัว” เพราะเกิดขึ้นเองในกองเปลือกเมล็ดบัว ภาคอีสานเรียกว่า “เห็ดเฟียง”

เหตุผลดีๆที่คุณควรเพาะเห็ดฟาง:

  1. ใช้พื้นที่น้อย เพาะง่าย: การเพาะเห็ดฟางไม่จำเป็นต้องใช้พื้นที่มาก สามารถเพาะในพื้นที่จำกัด เช่น ในตะกร้า หรือในโรงเรือนขนาดเล็กได้ ทำให้เหมาะสำหรับผู้ที่มีพื้นที่น้อย เช่น ผู้ที่อาศัยอยู่ในเมือง หรือผู้ที่มีพื้นที่เกษตรจำกัด
  2. ใช้วัสดุเหลือใช้ทางการเกษตร: วัสดุเพาะเห็ดฟางส่วนใหญ่เป็นวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตร เช่น ฟางข้าว ซึ่งหาได้ง่ายและมีราคาถูก ช่วยลดต้นทุนการผลิตและเป็นการใช้ทรัพยากรให้เกิดประโยชน์สูงสุด นอกจากฟางข้าวแล้ว ยังสามารถใช้วัสดุอื่นๆ ได้อีก เช่น ผักตบชวา กากมันสำปะหลัง หรือทะลายปาล์ม
  3. ระยะเวลาเพาะสั้น ได้ผลผลิตเร็ว: การเพาะเห็ดฟางใช้เวลาเพียง 7-10 วัน ก็สามารถเก็บเกี่ยวผลผลิตได้ ทำให้มีรายได้หมุนเวียนเร็ว เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการผลตอบแทนในระยะเวลาอันสั้น
  4. ลงทุนน้อย กำไรดี: ต้นทุนในการเพาะเห็ดฟางค่อนข้างต่ำ เนื่องจากใช้วัสดุเหลือใช้ทางการเกษตรเป็นหลัก และใช้เทคนิคที่ไม่ซับซ้อน แต่ผลตอบแทนค่อนข้างดี เนื่องจากเห็ดฟางเป็นที่ต้องการของตลาด
  5. บริโภคเองได้ ปลอดภัย: การเพาะเห็ดฟางเองทำให้มั่นใจได้ในความปลอดภัยจากสารเคมี เนื่องจากสามารถควบคุมกระบวนการผลิตได้เอง และมีเห็ดสดใหม่ไว้บริโภคในครัวเรือนได้ตลอด
  6. คุณค่าทางโภชนาการสูง: เห็ดฟางมีคุณค่าทางโภชนาการสูง อุดมไปด้วยโปรตีน วิตามิน และแร่ธาตุต่างๆ มีประโยชน์ต่อสุขภาพ การบริโภคเห็ดฟางจึงเป็นทางเลือกที่ดีสำหรับผู้ที่ต้องการดูแลสุขภาพ
  7. เป็นอาชีพเสริมสร้างรายได้: การเพาะเห็ดฟางสามารถทำเป็นอาชีพเสริมเพื่อสร้างรายได้ให้กับครอบครัวได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งในพื้นที่ที่มีการทำนาข้าว ซึ่งมีฟางข้าวเป็นวัสดุเพาะอยู่แล้ว

ขั้นตอนการเพาะเห็ดฟาง อย่างละเอียด

ขั้นตอนที่ 1: การเตรียมวัสดุเพาะ

  1. วัสดุเพาะหลัก
    • ฟางข้าว: ใช้ฟางข้าวที่แห้งสนิท ไม่มีเชื้อรา หรือสิ่งสกปรกเจือปน
    • กากถั่วเหลืองหรือรำละเอียด: เป็นแหล่งสารอาหารเสริม
    • มูลสัตว์: เช่น มูลวัวหรือมูลควาย ที่ผ่านการหมักจนสลายตัวดีแล้ว
    • ปูนขาว: ใช้เพื่อปรับความเป็นกรด-ด่างของวัสดุเพาะ
  2. อุปกรณ์เสริม
    • พลาสติกคลุม: สำหรับรักษาความชื้น
    • น้ำสะอาด: สำหรับใช้ฉีดพ่นและหมักวัสดุ
    • เชื้อเห็ดฟาง: สามารถหาซื้อได้จากร้านเกษตร

ขั้นตอนที่ 2: การเตรียมวัสดุเพาะ

  1. การแช่ฟาง
    • นำฟางข้าวแช่น้ำสะอาดทิ้งไว้ประมาณ 12-24 ชั่วโมง เพื่อให้ฟางดูดซับน้ำเต็มที่
    • หลังจากนั้น ยกฟางขึ้นจากน้ำและปล่อยให้สะเด็ดน้ำ
  2. การหมักวัสดุ
    • ผสมฟางแช่น้ำกับกากถั่วเหลืองหรือรำละเอียดในอัตราส่วน 10:1
    • เติมมูลสัตว์ประมาณ 10-15% ของน้ำหนักฟาง
    • โรยปูนขาวเล็กน้อยเพื่อปรับสภาพดิน แล้วคลุกเคล้าส่วนผสมให้เข้ากัน
    • หมักวัสดุไว้ในที่ร่มประมาณ 3-5 วัน โดยหมั่นกลับกองหมักทุกวันเพื่อให้อากาศถ่ายเท

ขั้นตอนที่ 3: การจัดเตรียมแปลงเพาะ

  1. รูปแบบแปลง
    • แปลงเพาะอาจทำในลักษณะกองเตี้ย (แบบเปิด) หรือภายในโรงเรือน (แบบปิด)
    • ขนาดแปลงเพาะแนะนำให้มีความกว้างประมาณ 1 เมตร และความยาวตามพื้นที่ที่เหมาะสม
  2. การวางวัสดุเพาะ
    • นำวัสดุที่หมักไว้วางเป็นชั้นบนแปลงเพาะ โดยให้ความหนาของชั้นประมาณ 15-20 เซนติเมตร
    • โรยเชื้อเห็ดฟางให้กระจายทั่วแปลง แล้ววางวัสดุเพาะอีกชั้นทับลงไป
    • ทำซ้ำจนวัสดุเพาะครบตามความหนาที่ต้องการ

ขั้นตอนที่ 4: การดูแลรักษา

  1. การควบคุมอุณหภูมิ
    • เห็ดฟางเติบโตได้ดีในอุณหภูมิ 30-35 °C
    • หากอุณหภูมิเย็นเกินไป อาจคลุมพลาสติกเพื่อเพิ่มความร้อน
  2. การควบคุมความชื้น
    • รักษาความชื้นในวัสดุเพาะให้เหมาะสม โดยฉีดพ่นน้ำวันละ 1-2 ครั้ง แต่หลีกเลี่ยงการให้น้ำมากเกินไปจนวัสดุแฉะ
  3. การระบายอากาศ
    • หากเพาะในโรงเรือน ควรเปิดช่องระบายอากาศในช่วงกลางวันเพื่อป้องกันการสะสมของก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์

ขั้นตอนที่ 5: การเก็บเกี่ยว

  1. ระยะเวลาเก็บเกี่ยว
    • เห็ดฟางพร้อมเก็บเกี่ยวภายใน 7-10 วันหลังการเพาะเชื้อ
    • ช่วงเวลาที่เหมาะสมที่สุดคือเมื่อดอกเห็ดยังอยู่ในระยะตูมและมีเยื่อหุ้มดอกสมบูรณ์
  2. วิธีการเก็บเกี่ยว
    • ใช้มือบิดดอกเห็ดออกจากวัสดุเพาะอย่างเบามือเพื่อป้องกันความเสียหาย
    • ควรเก็บเกี่ยวในช่วงเช้าตรู่เพื่อรักษาความสดของดอกเห็ด

ประโยชน์ของเห็ดฟาง

  1. คุณค่าทางโภชนาการ
    • โปรตีนสูง: เห็ดฟางมีโปรตีนที่ย่อยง่ายและมีกรดอะมิโนที่จำเป็นต่อร่างกาย
    • ไขมันต่ำ: เป็นอาหารที่เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการควบคุมน้ำหนัก
    • แร่ธาตุและวิตามิน: อุดมไปด้วยแร่ธาตุ เช่น โพแทสเซียม แมกนีเซียม และวิตามินบีรวมที่ช่วยเสริมสร้างพลังงาน
  2. เสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน
    • เห็ดฟางมีสารต้านอนุมูลอิสระ เช่น โพลีแซคคาไรด์ ซึ่งช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันให้แข็งแรง
    • สารเหล่านี้ยังช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคเรื้อรัง เช่น มะเร็งและโรคหัวใจ
  3. ช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด
    • การบริโภคเห็ดฟางอย่างต่อเนื่องสามารถช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้ เนื่องจากมีปริมาณน้ำตาลและคาร์โบไฮเดรตที่ต่ำ
  4. ส่งเสริมสุขภาพลำไส้
    • เห็ดฟางมีใยอาหารที่ช่วยกระตุ้นการทำงานของระบบย่อยอาหารและป้องกันปัญหาท้องผูก
  5. ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอล
    • การรับประทานเห็ดฟางสามารถช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลชนิดไม่ดี (LDL) และส่งเสริมคอเลสเตอรอลชนิดดี (HDL) ซึ่งช่วยลดความเสี่ยงของโรคหลอดเลือดหัวใจ
  6. เป็นอาหารเพื่อสุขภาพในผู้สูงอายุ
    • ด้วยคุณค่าทางโภชนาการที่ครบถ้วนและย่อยง่าย เห็ดฟางจึงเหมาะสำหรับผู้สูงอายุที่ต้องการอาหารที่ดีต่อสุขภาพและง่ายต่อการบริโภค

จะเห็นได้ว่าการเพาะเห็ดฟางนั้นมีข้อดีอยู่มากมาย ทั้งสามารถสร้างรายได้เสริม เป็นการใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์ หรือกระทั่งการสร้างอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการไว้บริโภคเอง และยังเป็นการใช้ทรัพยากรเหลือใช้ทางการเกษตรให้เกิดประโยชน์สูงสุดอีกด้วย

อ่านบทความดีๆกันแล้ว
แล้วอย่าลืม แอดไลน์ มาเป็นเพื่อนกัน เพื่อให้ท่านไม่พลาดข่าวสารและโปรโมชั่นดีๆจากทางร้าน

เพิ่มเพื่อน

error: Content is protected !!