Last Updated on กุมภาพันธ์ 8, 2025 by admin
แก้วเจ้าจอม (Guaiacum officinale L.) เป็นไม้ยืนต้นที่มีความโดดเด่นและคุณค่าหลากหลายประการ ในทางพฤกษศาสตร์ พรรณไม้นี้มีลักษณะเฉพาะตัวที่น่าสนใจ ในเชิงวัฒนธรรม แก้วเจ้าจอมมีความหมายและเชื่อมโยงกับความเชื่ออันเป็นสิริมงคล และในด้านเศรษฐกิจ เนื้อไม้ของแก้วเจ้าจอมเป็นที่ต้องการเนื่องจากคุณสมบัติพิเศษหลายประการ บทความนี้จึงมุ่งนำเสนอข้อมูลที่ครอบคลุมเกี่ยวกับแก้วเจ้าจอม ตั้งแต่ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ ความหมายและความเชื่อที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนแนวทางการดูแลรักษา เพื่อให้ผู้อ่านมีความเข้าใจในพรรณไม้ชนิดนี้อย่างรอบด้านและถูกต้องตามหลักวิชาการ
ลักษณะทางพฤกษศาสตร์
- รูปแบบทรงต้น: ไม้ยืนต้นไม่ผลัดใบ ทรงพุ่มกลมถึงรูปไข่ หนาทึบ. ความสูงโดยทั่วไปประมาณ 10-20 เมตร แต่ในสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมอาจสูงได้ถึง 25 เมตร
- ลำต้น: ลำต้นตรง แข็งแรง เปลือกต้นสีเทาถึงสีน้ำตาลอ่อน แตกเป็นร่องตามยาวและขรุขระเมื่อมีอายุมากขึ้น. เนื้อไม้มีความหนาแน่นสูงมาก สีเขียวอมเหลืองถึงน้ำตาลเข้ม มีความมันเลื่อมคล้ายน้ำมัน
- ชนิดใบ: ใบประกอบแบบขนนกสองชั้น (Bipinnately compound leaves). เรียงสลับ
- ลักษณะใบย่อย: ใบย่อยมีขนาดเล็ก รูปไข่ถึงรูปรี ปลายใบมนถึงเว้าเล็กน้อย โคนใบรูปลิ่ม ขอบใบเรียบ ผิวใบเกลี้ยงเป็นมัน สีเขียวเข้ม มีใบย่อยประมาณ 2-3 คู่ต่อก้านใบย่อยหลัก
- ชนิดดอก: ดอกสมบูรณ์เพศ (Perfect flowers). ออกเป็นช่อกระจุก (Cymes) ตามซอกใบและปลายกิ่ง
- ลักษณะดอก: ดอกมีขนาดเล็ก กลีบเลี้ยง 5 กลีบ สีเขียวอ่อน กลีบดอก 5 กลีบ สีม่วงครามถึงน้ำเงินอมม่วง เมื่อใกล้โรยเปลี่ยนเป็นสีขาว. มีเกสรตัวผู้ 10 อัน อับเรณูสีเหลือง เกสรตัวเมีย 1 อัน รังไข่อยู่เหนือวงกลีบ
- ชนิดผล: ผลแบบแคปซูล (Capsule). รูปร่างค่อนข้างกลมถึงรูปไข่ มีสัน 2 สัน
- ลักษณะผล: ผลอ่อนสีเขียว เมื่อแก่แห้งแตกออกเป็น 2 ซีก ภายในมีเมล็ด 1-2 เมล็ด
- เมล็ด: เมล็ดรูปไต สีดำ มีเนื้อเยื่อหุ้มเมล็ดสีแดงส้ม
- ระบบราก เเข็งเเรง เเละหยั่งลึก ช่วยให้เเก้วเจ้าจอมทนเเล้งได้ดี
แก้วเจ้าจอม ความหมาย และ ความเชื่อที่เกี่ยวข้อง
ความหมายในระดับสากล
- Lignum vitae – “Wood of Life”: ชื่อภาษาละติน “Lignum vitae” แปลว่า “ไม้แห่งชีวิต” ชื่อนี้สะท้อนถึงคุณสมบัติเด่นของเนื้อไม้แก้วเจ้าจอมในด้านความทนทาน ความแข็งแรง และการใช้งานที่ยาวนาน รวมถึงความเชื่อในอดีตที่ว่าเนื้อไม้มีสรรพคุณทางยาในการรักษาโรคต่างๆ
- สัญลักษณ์แห่งความแข็งแกร่งและความยั่งยืน: ด้วยเนื้อไม้ที่แข็งแกร่งและทนทานเป็นพิเศษ แก้วเจ้าจอมจึงถูกมองว่าเป็นสัญลักษณ์ของความแข็งแกร่ง ความทนทาน และความยั่งยืน มักถูกนำไปใช้ในงานที่ต้องการความมั่นคงและอายุการใช้งานที่ยาวนาน เช่น ชิ้นส่วนเครื่องจักรกลหนัก เพลาเรือ ลูกปืน และงานก่อสร้างบางประเภท
- ความเชื่อในสรรพคุณทางยา: ในอดีต มีความเชื่อว่าเรซินและส่วนต่างๆ ของแก้วเจ้าจอมมีสรรพคุณทางยาในการรักษาโรคต่างๆ เช่น โรคข้ออักเสบ โรคผิวหนัง และโรคซิฟิลิส มีการนำมาใช้ในตำรับยาพื้นบ้านและยาสมุนไพรในหลายวัฒนธรรม แม้ว่าสรรพคุณทางยาบางอย่างยังต้องการการศึกษาเพิ่มเติมตามหลักวิทยาศาสตร์
ความหมายและความเชื่อในประเทศไทย
การใช้ในพิธีกรรม ในบางท้องถิ่น อาจมีการนำส่วนต่างๆ ของแก้วเจ้าจอมไปใช้ในพิธีกรรม หรือความเชื่อทางไสยศาสตร์บางประการ เช่น การใช้เนื้อไม้แกะสลักเป็นเครื่องรางของขลัง หรือการใช้ส่วนต่างๆ ในพิธีบูชาต่างๆ อย่างไรก็ตาม ความเชื่อและการใช้งานในลักษณะนี้อาจแตกต่างกันไปในแต่ละท้องถิ่นและวัฒนธรรมย่อย
ชื่อ “แก้วเจ้าจอม” เป็นชื่อไทยที่สื่อถึงความสูงค่าและความเป็นสิริมงคล คำว่า “แก้ว” หมายถึง สิ่งที่มีค่า สวยงาม บริสุทธิ์ และคำว่า “เจ้าจอม” หมายถึง บุคคลที่สูงศักดิ์ หรือสิ่งที่อยู่เหนือกว่า ชื่อนี้จึงสะท้อนถึงความนิยมชมชอบและความยกย่องที่มีต่อพรรณไม้นี้ในสังคมไทย
ไม้มงคล: แก้วเจ้าจอมได้รับการยกย่องให้เป็นไม้มงคลชนิดหนึ่งในประเทศไทย เชื่อกันว่าการปลูกแก้วเจ้าจอมไว้ในบริเวณบ้านหรือสถานที่ต่างๆ จะนำมาซึ่งความร่มเย็นเป็นสุข ความเจริญก้าวหน้า และความเป็นสิริมงคลแก่ผู้อยู่อาศัย นิยมปลูกเป็นไม้ประดับเพื่อเสริมความเป็นสิริมงคลและเพิ่มความสวยงามให้แก่สถานที่
ความนิยมในหมู่ชนชั้นสูง: ในอดีต แก้วเจ้าจอมเป็นไม้ประดับที่นิยมปลูกในหมู่ชนชั้นสูง ขุนนาง และผู้มีฐานะ เนื่องจากเป็นไม้ที่มีความสวยงามสง่า ทรงพุ่มหนาแน่น ให้ร่มเงาดี และดอกมีสีม่วงครามสวยงาม สะท้อนถึงรสนิยมและความชื่นชมในความงามของพรรณไม้ชนิดนี้ในสังคมชั้นสูง
การดูแลรักษาต้นแก้วเจ้าจอม
1. สภาพแวดล้อมที่เหมาะสม (Environmental Requirements)
แก้วเจ้าจอมเป็นพรรณไม้เขตร้อนที่มีความทนทานต่อสภาพแวดล้อมที่หลากหลาย แต่เพื่อให้ต้นเจริญเติบโตได้เต็มศักยภาพ ควรจัดสภาพแวดล้อมให้สอดคล้องกับความต้องการทางธรรมชาติ ดังนี้:
- แสงแดด: แก้วเจ้าจอมเป็นไม้กลางแจ้งที่ต้องการแสงแดดเต็มที่. ควรปลูกในพื้นที่ที่ได้รับแสงแดดโดยตรงอย่างน้อย 6-8 ชั่วโมงต่อวัน แสงแดดที่เพียงพอจะส่งเสริมการเจริญเติบโตที่แข็งแรง การออกดอกที่สมบูรณ์ และสีสันของดอกที่สดใส
- อุณหภูมิ: แก้วเจ้าจอมเจริญเติบโตได้ดีในสภาพอากาศอบอุ่นถึงร้อน. อุณหภูมิที่เหมาะสมสำหรับการเจริญเติบโตอยู่ในช่วง 20-35 องศาเซลเซียส สามารถทนทานต่ออุณหภูมิสูงได้ดี แต่ควรหลีกเลี่ยงสภาพอากาศหนาวเย็นจัด ( ประเทศไทยไม่น่าจะมีปัญหาเรื่องนี้ )
- ความชื้น: แก้วเจ้าจอมมีความทนทานต่อสภาพแห้งแล้งได้ดี แต่ก็ควรได้รับน้ำอย่างสม่ำเสมอในช่วงแรกของการปลูกและช่วงฤดูร้อน ความชื้นในดินที่เหมาะสมคือระดับที่ดินยังคงชื้นแต่ไม่แฉะเกินไป
2. ดินและการปลูก (Soil and Planting)
- ชนิดดิน: แก้วเจ้าจอมสามารถเจริญเติบโตได้ดีในดินหลากหลายชนิด. แต่ดินที่เหมาะสมที่สุดคือดินร่วนปนทราย ที่มีการระบายน้ำได้ดี มีธาตุอาหารพอเหมาะ และมีค่าความเป็นกรด-ด่าง (pH) อยู่ในช่วง 6.0-7.5
- การเตรียมดิน: ก่อนการปลูก ควรปรับปรุงดินให้ร่วนซุย โดยการพรวนดินและผสมวัสดุอินทรีย์ เช่น ปุ๋ยหมัก ปุ๋ยคอก หรือแกลบดิบ หากดินเป็นดินเหนียว ควรปรับปรุงการระบายน้ำโดยการเติมทรายหยาบ หรือวัสดุระบายน้ำอื่นๆ หากดินเป็นดินทราย ควรปรับปรุงความสามารถในการอุ้มน้ำโดยการเติมดินเหนียวหรือวัสดุอินทรีย์
- การปลูกลงดิน: ขุดหลุมปลูกให้มีขนาดกว้างและลึกกว่าขนาดของตุ้มดินเล็กน้อย. นำต้นกล้าแก้วเจ้าจอมออกจากภาชนะปลูกอย่างระมัดระวัง วางต้นกล้าลงในหลุม โดยให้ระดับดินในกระถางเดิมเสมอกับระดับดินปากหลุม กลบดินและกดดินรอบโคนต้นให้แน่นพอประมาณ รดน้ำให้ชุ่ม
- การปลูกในกระถาง: เลือกกระถางที่มีขนาดเหมาะสมกับขนาดของต้นกล้า และมีรูระบายน้ำที่ดี. ใช้วัสดุปลูกที่ระบายน้ำได้ดี เช่น ดินร่วนผสมกาบมะพร้าวสับและแกลบดิบ ปลูกต้นกล้าในกระถางเช่นเดียวกับการปลูกลงดิน การปลูกในกระถางเหมาะสำหรับพื้นที่ที่มีจำกัด หรือต้องการเคลื่อนย้ายต้นไม้ได้สะดวก
3. การให้น้ำ (Watering)
- ช่วงแรกของการปลูก: ควรรดน้ำอย่างสม่ำเสมอ ทุกวัน หรือวันเว้นวัน ในช่วง 1-2 เดือนแรกหลังการปลูก เพื่อให้ดินมีความชื้นและรากสามารถตั้งตัวได้ดี
- ช่วงเจริญเติบโต: หลังจากต้นตั้งตัวได้แล้ว ควรรดน้ำเมื่อดินเริ่มแห้ง สังเกตจากผิวดินด้านบน หากดินแห้ง ควรรดน้ำให้ชุ่มจนน้ำไหลออกจากรูระบายน้ำ
- ฤดูร้อน: ในช่วงฤดูร้อน หรือสภาพอากาศแห้งแล้ง อาจต้องให้น้ำบ่อยขึ้น ตรวจสอบความชื้นในดินเป็นประจำ และให้น้ำเมื่อดินแห้ง
- ฤดูฝน: ในช่วงฤดูฝน ควรรดน้ำให้น้อยลง หรือเว้นการให้น้ำ หากฝนตกชุก ดินอาจมีความชื้นมากเกินไป ซึ่งอาจเป็นสาเหตุของโรครากเน่าได้
- วิธีการให้น้ำ: ควรรดน้ำบริเวณโคนต้น หลีกเลี่ยงการรดน้ำบนใบโดยตรง เพื่อลดความเสี่ยงของการเกิดโรครา การให้น้ำควรให้ในปริมาณที่พอเหมาะ ไม่มากหรือน้อยจนเกินไป
4. การให้ปุ๋ย (Fertilization)
- ปุ๋ยในช่วงแรกของการปลูก: ในช่วง 1-2 เดือนแรกหลังการปลูก อาจให้ปุ๋ยสูตรเสมอ เช่น สูตร 15-15-15 หรือ 16-16-16 ในปริมาณเล็กน้อย เพื่อกระตุ้นการเจริญเติบโตของรากและลำต้น ให้ปุ๋ยทุกๆ 1-2 เดือน
- ปุ๋ยสำหรับต้นโต: สำหรับต้นแก้วเจ้าจอมที่โตแล้ว อาจให้ปุ๋ยอินทรีย์ เช่น ปุ๋ยหมัก ปุ๋ยคอก หรือปุ๋ยชีวภาพ ปีละ 2-3 ครั้ง ในช่วงต้นฤดูฝนและปลายฤดูฝน ปุ๋ยอินทรีย์จะช่วยปรับปรุงโครงสร้างดินและให้ธาตุอาหารแก่พืชอย่างค่อยเป็นค่อยไป
- ปุ๋ยเร่งดอก (Option): หากต้องการส่งเสริมการออกดอก อาจให้ปุ๋ยสูตรฟอสฟอรัสสูง เช่น สูตร 10-52-17 หรือ 12-24-12 ในช่วงก่อนการออกดอกเล็กน้อย แต่โดยทั่วไป แก้วเจ้าจอมสามารถออกดอกได้ดีโดยไม่ต้องใช้ปุ๋ยเร่งดอก
- วิธีการให้ปุ๋ย: ควรให้ปุ๋ยบริเวณรอบโคนต้น ห่างจากโคนต้นเล็กน้อย พรวนดินเบาๆ ก่อนให้ปุ๋ย และรดน้ำตามให้ปุ๋ยละลายลงดิน
5. การตัดแต่งกิ่ง (Pruning)
- การตัดแต่งกิ่งเพื่อทรงพุ่ม: ควรตัดแต่งกิ่งที่ไม่ต้องการออก เช่น กิ่งแห้ง กิ่งเป็นโรค กิ่งไขว้ กิ่งกระโดง และกิ่งที่อยู่ในทรงพุ่มด้านในที่แสงแดดส่องไม่ถึง การตัดแต่งกิ่งควรทำในช่วงฤดูพักตัว หรือหลังหมดดอก
- การตัดแต่งกิ่งเพื่อควบคุมขนาด: หากต้องการควบคุมขนาดของต้นแก้วเจ้าจอม สามารถตัดแต่งกิ่งให้สั้นลงได้ แต่ควรตัดแต่งกิ่งอย่างเบามือ และรักษาทรงพุ่มให้เป็นธรรมชาติ
6. โรคและแมลงศัตรู (Pests and Diseases)
แก้วเจ้าจอมค่อนข้างทนทานต่อโรคและแมลงศัตรู แต่ในสภาพแวดล้อมที่ไม่เหมาะสม หรือการดูแลรักษาไม่ดี อาจพบปัญหาโรคและแมลงได้บ้างเช่น
- โรครากเน่า: เกิดจากเชื้อราในดิน มักพบในสภาพดินที่ระบายน้ำไม่ดี และมีความชื้นสูงเกินไป. อาการเริ่มแรกคือใบเหลือง เหี่ยวเฉา และร่วงหล่น รากเน่าและมีสีน้ำตาล การป้องกันคือการปรับปรุงการระบายน้ำของดิน และหลีกเลี่ยงการให้น้ำมากเกินไป หากพบโรค ควรตัดแต่งส่วนที่เป็นโรคทิ้ง และใช้สารป้องกันกำจัดเชื้อรา
- โรคใบจุด: เกิดจากเชื้อราบนใบ. สังเกตเห็นจุดสีน้ำตาลหรือดำบนใบ การป้องกันคือการรักษาความสะอาดบริเวณโคนต้นและทรงพุ่ม ระบายอากาศให้ถ่ายเทสะดวก หากพบโรค ควรตัดแต่งใบที่เป็นโรคทิ้ง และใช้สารป้องกันกำจัดเชื้อรา
- แมลงศัตรู: แมลงศัตรูที่อาจพบ เช่น เพลี้ยแป้ง หนอนเจาะลำต้น หรือไรแดง. การป้องกันคือการตรวจตราต้นอย่างสม่ำเสมอ หากพบแมลงศัตรูในปริมาณน้อย อาจกำจัดด้วยมือ หรือใช้น้ำฉีดล้าง หากพบการระบาดรุนแรง อาจพิจารณาใช้สารเคมีเข้าควบคุม
7. การขยายพันธุ์ (Propagation)
แก้วเจ้าจอมสามารถขยายพันธุ์ได้หลายวิธี ได้แก่:
- การเพาะเมล็ด: เป็นวิธีที่ทำได้ แต่ต้องใช้เวลานาน. เมล็ดแก้วเจ้าจอมมีเปลือกหุ้มเมล็ดแข็ง อาจต้องทำการกะเทาะเปลือก หรือแช่น้ำอุ่นก่อนเพาะ เพื่อช่วยให้เมล็ดงอกได้เร็วขึ้น เมล็ดใช้เวลาในการงอกนาน และต้นกล้าอาจโตช้าในช่วงแรก
- การปักชำกิ่ง: เป็นวิธีที่นิยมและได้ผลดี. เลือกกิ่งกึ่งแก่กึ่งอ่อน ยาวประมาณ 15-20 เซนติเมตร ตัดใต้ข้อ ปักชำในวัสดุปลูกที่ระบายน้ำได้ดี เช่น ทราย หรือขี้เถ้าแกลบ รักษาสภาพแวดล้อมให้มีความชื้นสูง กิ่งปักชำจะเริ่มออกรากภายใน 1-2 เดือน
แก้วเจ้าจอม ราคา เท่าไหร่
ราคาของต้นแก้วเจ้าจอม นั้น ไม่มีราคาที่แน่นอนตายตัว ราคาจะแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย ซึ่งเป็นลักษณะทั่วไปของการกำหนดราคาต้นไม้ประดับ
เพื่อให้ท่านพอเห็นภาพรวมของราคา อาจประมาณราคาต้นแก้วเจ้าจอมได้ดังนี้ (ราคาเหล่านี้เป็นเพียง ราคาโดยประมาณ และอาจแตกต่างกันไปในแต่ละแหล่งจำหน่าย):
- ต้นกล้าขนาดเล็ก (สูงประมาณ 30-50 เซนติเมตร): ราคาเริ่มต้นประมาณ 100 – 300 บาท
- ต้นขนาดกลาง (สูงประมาณ 1-2 เมตร): ราคาประมาณ 500 – 2,000 บาท
- ต้นขนาดใหญ่/ไม้ล้อม (สูง 2 เมตรขึ้นไป หรือขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางลำต้น 4 นิ้วขึ้นไป): ราคาเริ่มต้นประมาณ 3,000 บาทขึ้นไป ไปจนถึงหลักหมื่นบาท หรือมากกว่านั้น สำหรับต้นที่มีขนาดใหญ่มาก ทรงพุ่มสวยงาม และหายาก
อ่านบทความดีๆกันแล้ว
แล้วอย่าลืม แอดไลน์ มาเป็นเพื่อนกัน เพื่อให้ท่านไม่พลาดข่าวสารและโปรโมชั่นดีๆจากทางร้าน