ธันวาคม 4, 2025

Blog

ผักชีล้อม สมุนไพรกลิ่นหอม สรรพคุณล้นเหลือ

คลังบทความ
ฝากกดแชร์เป็นกำลังใจให้ด้วยนะคะ

Last Updated on กันยายน 10, 2025 by admin

ผักชีล้อม (ชื่อวิทยาศาสตร์: Oenanthe javanica) ไม่ใช่เป็นเพียงผักริมรั้วธรรมดา แต่มันคือสมุนไพรและวัตถุดิบทางอาหารที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานและหยั่งรากลึกในวัฒนธรรมเอเชีย ตั้งแต่การเป็นเครื่องเคียงในสำรับอาหารไทย ไปจนถึงการเป็นส่วนประกอบสำคัญในเมนูสุขภาพของเกาหลีและญี่ปุ่น พืชชนิดนี้เป็นที่รู้จักจากกลิ่นหอมเป็นเอกลักษณ์และรสชาติที่ซับซ้อน บทความนี้จะพาคุณไปสำรวจทุกแง่มุมของผักชีล้อม ตั้งแต่ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ คุณค่าทางโภชนาการที่น่าทึ่ง สรรพคุณที่ได้รับการสนับสนุนจากงานวิจัย ไปจนถึงคำเตือนที่สำคัญที่สุดซึ่งทุกคนต้องทราบก่อนบริโภค

ผักชีล้อม: ลักษณะทางพฤกษศาสตร์และถิ่นกำเนิด

  • ลักษณะทางพฤกษศาสตร์:
    • ลำต้น: เป็นพืชล้มลุกอายุหลายปี ลำต้นกลวง อวบน้ำ ตั้งตรงและเลื้อยทอดไปตามพื้นผิวดินที่ชุ่มชื้น สามารถสูงได้ถึง 1 เมตร ลำต้นมีข้อปล้องชัดเจนและสามารถแตกรากตามข้อได้
    • ใบ: เป็นใบประกอบแบบขนนก 2-3 ชั้น ออกเรียงสลับกัน ใบย่อยรูปไข่หรือรูปใบหอก ขอบใบหยักลึกเป็นฟันเลื่อย เมื่อนำใบมาขยี้จะได้กลิ่นหอมฉุนเฉพาะตัว ซึ่งเป็นลักษณะเด่นสำคัญ
    • ดอก: ออกดอกเป็นช่อคล้ายซี่ร่ม ที่ปลายก้าน แต่ละช่อประกอบด้วยดอกย่อยสีขาวขนาดเล็กจำนวนมาก
    • ราก: มีระบบรากเป็นเส้นฝอยจำนวนมาก และเจริญเติบโตได้ดีในดินที่ชุ่มน้ำหรือดินโคลน
  • ถิ่นกำเนิดและแหล่งที่พบ: ผักชีล้อมเป็นพืชพื้นถิ่นของทวีปเอเชีย พบกระจายพันธุ์ตั้งแต่อินเดีย เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ไปจนถึงจีน เกาหลี และญี่ปุ่น มักเจริญเติบโตตามธรรมชาติในบริเวณที่มีความชื้นสูง เช่น ริมคูน้ำ คันนา หรือพื้นที่ชุ่มน้ำต่างๆ

คุณค่าทางโภชนาการ ของผักชีล้อม

สารอาหารปริมาณโดยประมาณประโยชน์หลัก
พลังงาน20-25 kcalให้พลังงานต่ำ เหมาะสำหรับผู้ควบคุมน้ำหนัก
เบต้าแคโรทีน> 4,000 mcgเปลี่ยนเป็นวิตามินเอ บำรุงสายตาและผิวพรรณ
วิตามินซี30-50 mgเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน ต้านอนุมูลอิสระ
โฟเลต (Folate)100-150 mcgสำคัญต่อการสร้างเม็ดเลือดแดงและพัฒนาการของตัวอ่อน
แคลเซียม100-150 mgบำรุงกระดูกและฟันให้แข็งแรง
โพแทสเซียม300-400 mgช่วยควบคุมความดันโลหิตและการทำงานของกล้ามเนื้อ
ธาตุเหล็ก2-3 mgป้องกันภาวะโลหิตจาง
ใยอาหาร2-3 gช่วยให้ระบบขับถ่ายทำงานเป็นปกติ

หมายเหตุ: ค่าทางโภชนาการอาจแตกต่างกันไปตามแหล่งเพาะปลูกและความสดใหม่

สรรพคุณทางยาและการศึกษาทางวิทยาศาสตร์

ภูมิปัญญาดั้งเดิมที่ใช้ผักชีล้อมเป็นยานั้น กำลังได้รับการยืนยันมากขึ้นจากงานวิจัยทางวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ ซึ่งพบสารออกฤทธิ์ทางชีวภาพที่สำคัญหลายชนิด เช่น Persicarin และ Isorhamnetin ซึ่งเป็นสารในกลุ่มฟลาโวนอยด์

  • ฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระและลดการอักเสบ: สารฟลาโวนอยด์ที่พบในผักชีล้อมช่วยต่อสู้กับอนุมูลอิสระซึ่งเป็นสาเหตุของความเสื่อมในระดับเซลล์ และมีงานวิจัยที่ชี้ว่าสารสกัดจากผักชีล้อมสามารถยับยั้งกระบวนการอักเสบในร่างกายได้
  • การปกป้องเซลล์ตับ: มีการศึกษาในสัตว์ทดลองพบว่า สารสกัดจากผักชีล้อมอาจมีส่วนช่วยปกป้องตับจากความเสียหายที่เกิดจากสารพิษและแอลกอฮอล์
  • ช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด: งานวิจัยบางชิ้นบ่งชี้ว่าผักชีล้อมอาจมีคุณสมบัติช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือด ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อผู้ป่วยเบาหวาน
  • ส่งเสริมระบบประสาท: สารประกอบบางชนิดอาจมีฤทธิ์ในการปกป้องเซลล์ประสาท และอาจมีบทบาทในการป้องกันโรคที่เกี่ยวข้องกับความเสื่อมของระบบประสาท

ผักชีล้อมกับการใช้งานด้านอาหาร

รสชาติที่สดชื่น ซ่าเล็กน้อย และกลิ่นหอมฉุน ทำให้ผักชีล้อมเป็นวัตถุดิบที่โดดเด่นในหลายวัฒนธรรม

  • ในอาหารไทย: คนไทยคุ้นเคยกับการใช้ผักชีล้อมเป็นผักสดแนมกับอาหารรสจัดจ้าน เช่น ลาบ, ก้อย, น้ำตก, แจ่ว หรือใส่ในแกงอ่อมเพื่อดับกลิ่นคาวและเพิ่มความหอม นอกจากนี้ยังนิยมนำไปทำยำหรือใส่ในต้มยำเพื่อเพิ่มมิติของรสชาติ
  • ในอาหารนานาชาติ:
    • เกาหลี: ผักชีล้อมเป็นที่รู้จักในชื่อ “มินาริ” (Minari – 미나리) และเป็นส่วนประกอบสำคัญในอาหารเกาหลีหลายชนิด เช่น ใส่ในซุปปลารสเผ็ด (Maeun-tang) เพื่อดับคาว, ทำเป็นเครื่องเคียง (Namul), หรือกินสดๆ กับหมูย่าง
    • ญี่ปุ่น: เรียกผักชีล้อมว่า “เซริ” (Seri – セリ) นิยมใส่ในหม้อไฟ (Nabe), สลัด และเป็นหนึ่งในเจ็ดสมุนไพรของเทศกาลนานาคุสะโนะเซ็กกุ (เทศกาลสมุนไพร 7 ชนิด)
    • เวียดนาม: ใช้เป็นผักในเฝอและอาหารประเภทต้มต่างๆ

วิธีการปลูก ผักชีล้อม แบบง่ายๆ

  1. การเตรียมดิน: ชอบดินร่วนซุยที่อุดมสมบูรณ์และเก็บความชื้นได้ดี สามารถผสมดินกับปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมัก
  2. สภาพแวดล้อม: ชอบแสงแดดรำไร ไม่ชอบแดดจัดตลอดทั้งวัน และต้องการความชื้นสูงมาก หากปลูกในกระถางควรมีจานรองน้ำไว้เสมอ
  3. การขยายพันธุ์: ทำได้ทั้งการเพาะเมล็ดและการปักชำกิ่งแก่ โดยวิธีปักชำจะให้ผลเร็วกว่า เพียงตัดกิ่งที่มีข้อ 2-3 ข้อแล้วนำไปปักในดินที่ชื้น ไม่นานก็จะแตกรากและใบใหม่
  4. การให้น้ำ: ต้องให้น้ำอย่างสม่ำเสมอ อย่าปล่อยให้ดินแห้งเด็ดขาด
  5. การเก็บเกี่ยว: สามารถเริ่มเก็บเกี่ยวได้เมื่อต้นโตเต็มที่ โดยใช้กรรไกรตัดก้านใบบริเวณเหนือโคนต้นประมาณ 2-3 นิ้ว ต้นจะสามารถแตกยอดใหม่ขึ้นมาให้เก็บได้เรื่อยๆ

อ่านบทความดีๆกันแล้ว
แล้วอย่าลืม แอดไลน์ มาเป็นเพื่อนกัน เพื่อให้ท่านไม่พลาดข่าวสารและโปรโมชั่นดีๆจากทางร้าน

เพิ่มเพื่อน

error: Content is protected !!